“ทนาย STARK” จ่อไล่บี้ “วนรัชต์” หลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ พบความผิดปกติ UOB ฟ้องล้มละลาย
“ทนายผู้เสียหาย STARK" เปิดผลคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ "วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ" หลัง "ยูโอบี” ฟ้องล้มละลาย ตั้งข้อสังเกตความผิดปกติในการใช้หนี้ดิบในการฟ้อง ชี้ปมหย่าภรรยาส่อเจตนายักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จ่อยื่นเรื่องปปง.อายัดทรัพย์เพิ่ม ฟากผู้เสียหายยันพร้อมสู้คดีต่อแม้ผิดหวัง สุดช็อคมีคนเศร้าจนฆ่าตัวแล้ว 1 รายจากการโดนโกง
วันที่ 19 ธ.ค. 67 ทนายจิณณะ แย้มอ่วม ทนายความผู้เสียหายหุ้นและหุ้นกู้ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ถึงกรณีที่ธนาคารยูโอบีฟ้องล้มละลาย นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ อดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ STARK โดยมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โดยระบุว่า กระบวนการทางกฎหมายกรณีนี้ยังไม่ถึงขั้นล้มละลายโดยสมบูรณ์ เนื่องจากคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเพียงขั้นตอนแรกของกระบวนการ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานจะรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดและประเมินมูลค่าหนี้สิน หากหนี้สินมีมากกว่าทรัพย์สิน จะมีการรายงานต่อศาลเพื่อพิจารณาให้ล้มละลาย แต่หากพบว่าทรัพย์สินมีมากกว่าหนี้สิน ศาลจะไม่ประกาศให้ล้มละลาย
ส่วนผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นกู้และเจ้าหนี้ของ STARK เมื่อคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์มีผลทำให้นายวนรัชต์จะไม่มีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินใดๆ โดยเจ้าหนี้ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อสำรวจและจัดการหนี้สิน หากเป็นเจ้าหนี้ไม่มีหลักประกัน จะได้รับการชำระหนี้ตามสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน ซึ่งในกรณีนี้ก็ได้เตรียมจัดทำแบบฟอร์มเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายในการยื่นเอกสารไว้แล้ว
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตถึงเรื่องที่ ธนาคารยูโอบี ฟ้องร้อง นายวนรัชต์ โดยประเด็นนี้เห็นว่า โดยปกติจะไม่มีการใช้หนี้ดิบมาฟ้องร้อง แม้กระทั่งผู้พิพากษาในศาลยังมีการสอบถามว่าทำไมจึงใช้หนี้ดิบมาฟ้องร้อง นอกจากนี้ยังได้ยินคำบอกเล่าของคนที่อยู่ในศาลว่าทนายความของฝั่งโจทก์และจำเลยยังมีการพูดคุยอย่างสนิทสนม เหมือนมีการพูดคุยกันมาก่อน ที่สำคัญก็แทบจะไม่มีการซักถามกันเลย
ส่วนกรณีการฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สินกับภรรยาก่อนหน้านี้ เห็นว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการแบ่งทรัพย์สิน โดยมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อปลดอายัดทรัพย์สินประมาณ 6,000 ล้านบาท จึงตั้งข้อสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวอาจมีเจตนายักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ซึ่งตรงนี้ตนเองเชื่อว่าเรื่องของศาลเยาวชนและครอบครัวอาจจะไม่ได้รู้ข่าวเรื่องพวกนี้ว่าเป็นมาอย่างไร ซึ่งนายวนรัชต์ก็อาจจะเอาประเด็นตรงนี้มายื่นเพื่อขอให้ศาลได้ปลดอายัดทรัพย์สินของนายวนรัชต์ โดยที่กลุ่มผู้เสียหาย STARK มีแผนยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อเพิกถอนนิติกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงร้องเรียนต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบและอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้จะต้องเริ่มต้นจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แต่ที่ผ่านมากลับไม่ยอมกล่าวโทษในเรื่องของการสร้างราคาหรือว่าปั่นหุ้น ถ้าดีเอสไอกล่าวโทษตั้งแต่ตอนแรกก็จะทำให้ ปปง. สามารถรับลูกเรื่องนี้ไปดำเนินการได้ในเรื่องอายัดทรัพย์ แต่ทำไมไม่ทำ ตรงนี้จึงเป็นข้อสังเกต
ส่วนคำสั่งของศาลที่ออกมาว่าพิทักษ์ทรัพย์นี้ ก็ทำให้มีผลกับคดีอื่นๆที่เป็นคดีแพ่ง จะถูกจำหน่ายจำเลยที่เป็นชื่อนายวนรัชต์ ออกไป ก็หมายความว่าใครมีคดีกับ นายวนรัชต์ ก็จะต้องไปยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอาไว้ทั้งหมด แต่คดีที่ไม่รวมก็คือพวกคดีอาญาที่ยังจะดำเนินการต่อไปปกติ โดยเงื่อนเวลาก็คือหลังจากที่ศาลได้ประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องพิทักษ์ทรัพย์เป็นเวลา 2 เดือนนับจากการประกาศพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไปที่ราชกิจจานุเบกษา
น.ส.จุฑามาศ วงศ์แสงอนันต์ สมาชิกผู้เสียหายกลุ่มห้อง STARK ตัวจริง กล่าวว่า มีความรู้สึกผิดหวัง เหมือนรู้สึกโดนรังแก และยังมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ทำให้คิดว่าเป็นเกมของนายวนรัชต์ จนทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม บางคนที่เป็นผู้สูงอายุรู้สึกหดหู่และเสียใจมาก ตรงส่วนตัวมองว่าการที่ ธนาคารยูโอบีไปแอบฟ้องนายวนรัชต์ ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อสังเกตของตนเอง เพราะก่อนหน้านี้ตนเองเคยเข้าไปฟังการพิจารณาเหมือนมีการส่งซิกหรือสัญญาณให้กัน ก็ไม่แน่ใจว่ามีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ ตรงนี้ก็เป็นข้อสังกตเช่นกัน จึงทำให้รู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ผู้เสียหายกลุ่ม STARK บางส่วนได้มีการฟ้องร้องไปแล้วเป็นเวลา 2 ปีในรูปแบบ การดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ซึ่งตอนนี้ก็ยังรอคำตัดสินของศาลอุธรณ์อยู่ ซึ่งถือว่าใช้เวลานานมากหากเทียบกับกรณีของที่ธนาคายูโอบีฟ้องเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้นศาลก็มีคำสั่งเลย ทำให้รู้สึกว่าความยุติธรรมมันล่าช้ามาก แม้ว่าจะเสียกำลังใจ แต่ก็ยืนหยัดว่าจะต่อสู้ต่อไป เพราะเราจะต้องได้รับความยุติธรรมให้ได้ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะมีทนายความที่เก่ง และมีการวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม ซึ่งการที่ผู้เสียหายซื้อหุ้นตัวนี้ก็เพราะเห็นว่างบการเงินดีตลอด มีกำไรหลายพันล้านบาท ที่สำคัญที่ซื้อหุ้นตัวนี้ก็มี นายวนรัชต์ ที่เป็นทายาทเจ้าสัวชื่อดังมีความน่าเชื่อถือ โดยความเสียใจที่เกิดขึ้นมีมาตั้งแต่เกิดเรื่อง จนทำให้ก่อนหน้านี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 รายเพราะฆ่าตัวตาย และเรื่องนี้ก็เคยให้การกับศาลแล้วด้วย.