พาราสาวะถี อรชุน
การยืนยันเรื่องเลือกตั้งให้ได้กลางปี 2560 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนหนึ่งแน่ๆ ต้องมาจากภาวะกดดันของต่างประเทศ อันจะเห็นได้เด่นชัดที่สุดจากท่วงทำนองของ กลินด์ ทาวเซนต์ เดวี่ส์ ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ซึ่งพูดในระหว่างการร่วมเปิดการฝึกคอบร้าโกลด์ ที่จังหวัดชลบุรี เรื่องหนึ่งคือการลดกำลังทหารในการฝึกร่วม
การยืนยันเรื่องเลือกตั้งให้ได้กลางปี 2560 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนหนึ่งแน่ๆ ต้องมาจากภาวะกดดันของต่างประเทศ อันจะเห็นได้เด่นชัดที่สุดจากท่วงทำนองของ กลินด์ ทาวเซนต์ เดวี่ส์ ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ซึ่งพูดในระหว่างการร่วมเปิดการฝึกคอบร้าโกลด์ ที่จังหวัดชลบุรี เรื่องหนึ่งคือการลดกำลังทหารในการฝึกร่วม
ด้วยการยืนยันในข้อกฎหมายของสหรัฐฯว่า”ประเทศใดมีรัฐบาลมาจากรัฐประหาร สหรัฐจะต้องลดกำลังทหารลง” ก่อนที่จะตอกย้ำเหมือนการทบทวนความจำบิ๊กตู่ว่า “แม้ว่าความสัมพันธ์ของเราในวันนี้จะเข้มแข็งมั่นคงและครอบคลุมแต่ความร่วมมือนี้จะยังเติบโตเข้มแข็งขึ้นไปอีก เมื่อประเทศไทยจะกลับสู่การปกครองที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งด้วยระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืน บทบาทของไทยในฐานะผู้นำในภูมิภาคนี้และความเป็นพันธมิตรของประเทศเราทั้งสองจะสามารถบรรลุซึ่งศักยภาพสูงสุดได้”
ด้วยเหตุนี้หลังการประชุมครม.เมื่อวาน วิษณุ เครืองาม ในฐานะคนแถลงข่าวแทนจึงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า นายกฯและหัวหน้า คสช.ย้ำต่อที่ประชุมครม.จะต้องจัดการเลือกตั้งให้ได้ภายในปี 2560 นี้ จากภาวะกดดันดังว่านี่กระมังที่ทำให้ท่านผู้นำจึงเกิดอาการน็อตหลุดออกอาการโมโกรธาเหมือนขนาดสติ เมื่อคราวประชุมครม.สัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นในการไปประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บิ๊กตู่จึงพูดน้อยมากผู้สื่อข่าวต้องนับกันเป็นวินาที ซึ่งไม่ต่างจากเมื่อวานที่พูดหลังประชุมครม.เพียงแค่ 36 วินาทีว่า “สวัสดีวันอังคาร วันนี้มีงานเร่งด่วนที่ต้องออกไปทำเพื่อประเทศชาติต่อ จึงจะมอบหน้าที่ให้รองนายกฯและโฆษกชี้แจง ให้ถามแต่เรื่องสร้างสรรค์ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ การปฏิรูปให้รับรู้ทั่วกัน อย่าขัดแย้งกันตอนนี้มันลำบาก มันจะไปไม่ได้ ตนไม่เคยโกรธใคร”
น่าขีดเส้นใต้วลีทองสุดท้ายเป็นอย่างยิ่งที่ว่าไม่เคยโกรธใคร เพราะลำพังบิ๊กตู่พูดอาจคิดได้ว่าคงไม่มีอะไรจริงๆ แต่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ออกมาสำทับซ้ำว่า พลเอกประยุทธ์เป็นคนอารมณ์ดีและไม่ได้เป็นคนขี้โมโห โดยยกเอาระยะเวลาคบหากันยาวนานมากว่า 40 ปีเป็นเครื่องการันตี แต่ใครจะเชื่อบ้าง เพราะบิ๊กป้อมเองเวลาที่ของขึ้นก็มีท่วงทำนองที่แสดงออกต่อนักข่าวไม่ต่างกัน
ต้องคอยดูว่าการสงบปากสงบคำของท่านผู้นำจะทนได้ต่อไปอีกซักกี่น้ำ จังหวะเคลื่อนในยามนี้คงเป็นเพียงการลดภาวะการเผชิญหน้า หลีกเลี่ยงการปะทะคารมกับผู้สื่อข่าวไปเท่านั้น ต้องไม่ลืมว่า ในการไปประชุมหัวหน้าส่วนราชการที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น มีเรื่องงบประมาณในการจัดการต้อนรับท่านผู้นำที่ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงสูงถึง 1.8 ล้านบาท
กลายเป็นประเด็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ มาถึงวันนี้ แทนที่โฆษกรัฐบาลอย่าง สรรเสริญ แก้วกำเนิด จะแจกแจงโดยละเอียดให้คนสิ้นสงสัยกลับแถไถไปเรื่อยเปื่อยเลยกลายเป็นเรื่องที่ควรจบกลับไม่จบไปเสียอย่างนั้น เพราะโฆษกไก่อูไม่ได้ชี้แจงการใช้งบประมาณตามที่สื่อมวลชนสอบถาม แต่กลับออกทะเลไปหาเรื่องให้เกี่ยวข้องกับโครงการจำนำข้าวเข้าไปโน่น
เป็นการชี้แจงแบบเฉไฉ จนถึงกับมีคนค่อนขอดว่า การชี้แจงแบบนี้ราวกับถูกถามเรื่องวัวกลับไปตอบควาย ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนสงสัยต่อเม็ดเงินจำนวนดังกล่าว นั่นเป็นเพราะ มันเป็นการใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย ใช้เกินความพอดีไม่เข้ากับค่านิยม 12 ประการที่ท่านผู้นำยกเป็นผลงานอันล้ำค่าแม้แต่น้อย ซึ่งคงไม่แปลกต่อท่าทีของโฆษกรัฐบาลเพราะชอบออกอาการแบบนี้เป็นปกติ
หากตั้งสติโดยไม่มัวแต่เอาอคติที่ติดตัวมา ควรต้องตอบว่ากำลังสอบสวนเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด เพราะตามนโยบายของท่านผู้นำต้องการให้ใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัด เมื่อท่านทราบเรื่องนี้ก็รู้สึกตกใจ จึงสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการชี้แจงให้ประชาชนสงสัย ง่ายๆแบบนี้จะทำให้ได้ใจคนทั้งประเทศ พอไปตอบอีกแบบเลยไปกันใหญ่
นี่ยังไม่นับรวมประเด็นเรื่องการใช้บริการรด.ไปช่วยประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ส่งทีมโฆษก คสช.รายใหม่อย่าง พันเอกปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ มาตอบโต้ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ที่แสดงความเป็นห่วงว่า การให้นักศึกษาวิชาทหารไปประชาสัมพันธ์กันถึงหน้าคูหาลงประชามตินั้นจะเป็นการชี้นำหรือไม่ โดยกล่าวหาว่าเป็นการทำให้เด็กๆที่มีจิตอาสาเสียกำลังใจ
ทั้งๆที่กรณีดังกล่าวหากมองในฐานะคนที่ติดตามการเมืองกันแล้ว หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ตั้งแต่วันที่ พลโทวีรชัย อินทุโศภน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนให้สัมภาษณ์แล้วว่า สิ่งที่เตรียมการไว้นั้นมันจะเป็นไปได้หรือ เพราะท่านระบุว่าจะให้รด.ทั่วประเทศไปช่วยประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญอยู่หน้าหน่วยลงประชามติ
แม้จะออกตัวว่าไม่ใช่การชี้นำ แต่คำถามก็คือ การไปรณรงค์อธิบายข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญหน้าคูหาประชามติทำได้ด้วยหรือ ถ้าทำได้ กกต.ต้องเขียนกติกาใหม่ไม่มีข้อห้ามใดๆ เพราะนั่นหมายความว่า ฝ่ายต่อต้านหรือรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมที่จะไปดำเนินการในลักษณะเดียวกับรด.ได้เช่นกัน มันไม่น่าจะเหมาะสมตั้งแต่คิดที่จะให้รด.ไปช่วยรณรงค์เรื่องนี้แล้ว
ไม่ได้ดูแคลนความรู้หรือวุฒิภาวะของนักเรียนนักศึกษาเหล่านั้น เพราะหากจะใช้เหตุผลว่าเป็นปัญญาชนที่มีภูมิความรู้ แล้วเหตุใดไม่เปิดโอกาสให้นักศึกษาอีกกลุ่มที่เขาคัดค้าน ไม่เห็นด้วยต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยได้มีพื้นที่ในการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนโดยทั่วไปด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้รับข้อมูลรอบด้านก่อนตัดสินใจ
ประเด็นนี้คงเป็นเหมือนท่าทีของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ขู่จะดำเนินการเอาผิดกับเพจบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ จน นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ต้องแนะนำว่า มีชัยควรจะชี้แจงดีกว่าไปทะเลาะด้วยอย่ามีอัตตาว่าตัวกูเป็นของกู พร้อมๆ กับเตือนเรื่องการเขียนกฎหมายสูงสุดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญจนล้นฟ้า
ในฐานะที่เคยถูกเล่นงานจากองค์กรอิสระแห่งนี้มาแล้ว นิคมจึงมองว่า ถ้าใช้อำนาจอย่างถูกทางจะไม่เป็นปัญหา แต่หลายปีที่ผ่านมาเห็นภาพชัดอยู่แล้ว ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดการเอียงหรือไม่ ตาชั่งถูกลมก็เอียงผิดเพี้ยนไปได้ ตอนนี้ลมหนาวกำลังมาแรงอยู่ด้วย จึงกังวลข้อนี้เป็นอย่างมาก เชื่อว่าคนทั่วไปมองเห็นอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร เว้นแต่มีชัยและชาวคณะเท่านั้นที่มองไม่เห็น เช่นนี้แล้วจะบอกว่าไม่มีใบสั่งใครจะเชื่อ