THG แจงตั้งสำรอง 336 ล้าน ปมรัฐค้างหนี้รักษาโควิด ย้ำโครงการ“จิณณ์ เวลบีอิ้งฯ”เดินหน้าต่อ
THG ตั้งสำรองพุ่ง 343% มูลค่า 336 ล้านบาท เหตุรัฐค้างชำระค่ารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนโครงการ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ยังเดินหน้าต่อ เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้เพิ่มขึ้นใน เดือนธ.ค.67
นางสาวจินดา อริยพรพงศ์ เลขานุการบริษัท บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่ ตลท.ขอให้ THG ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 และโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ นั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยได้พิจารณาข้อสอบถามเพิ่มเติมของ ตลท. และเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้
- การตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ
ตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ (ค่าเผื่อ) รวมทั้งสิ้นจำนวน 336 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 343 เมื่อเทียบกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 นั้น บริษัทฯ ขอเรีอนชี้แจงสาเหตุและรายละเอียดตามกลุ่มลูกหนี้ค่าเผื่อฯ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1.1 กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19
THG และบริษัทย่อย อันได้แก่ บจ. โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง, บมจ. โรงพยาบาลราษฎร์ ยินดี, บจ. ตรังเวชกิจ และ บจ. ธนบุรี เวลบีอึ้ง (บริษัทย่อยฯ) มีลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 ซึ่งรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท
สาเหตุของการรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท นั้น เนื่องมาจาก ที่ผ่านมา THG และบริษัทย่อยฯ ประสบปัญหาเกี่ยวกับการได้รับชำระเงินจากหน่วยงานภาครัฐใน ส่วนของการเบิกจ่ายจากการให้บริการรักษาพยาบาลในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยในช่วงปี 2564 – 2566 ซึ่ง THG และบริษัทย่อย โดยเฉพาะ บจ. โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง (THB) ได้รับรู้รายได้จากการให้บริการผู้ป่วยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีการประมาณการส่วนลดเพื่อสะท้อนจำนวนเงินที่คาดว่าจะได้รับชำระ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราที่ได้รับชำระจริงในอดีต โดยใช้อัตราส่วนที่คาดว่าจะได้รับชำระในช่วงระหว่างร้อยละ 29 ถึงร้อยละ 60 ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามหลักความระมัดระวัง และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป
ขณะที่ในปี 2567 เนื่องจาก THG และบริษัทย่อยฯ ได้รับรู้รายได้โดยรับรู้ประมาณการส่วนลด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราส่วนลดที่เกิดขึ้นจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 มีสถานะค้างชำระนานเกินกว่า 365 วัน และการชำระหนี้จากหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่า THG และบริษัทย่อยฯ จะติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุให้ THG และบริษัทย่อยฯ ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในอนาคต ดังนั้น เพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางการเงินอย่างเหมาะสมและระมัดระวัง THG และบริษัทย่อยฯ จึงได้ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวนร้อยละ 75 ของมูลหนี้คงเหลือ
อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 THG และบริษัทย่อยฯ ยังไม่ได้รับการชำระหนี้คืนจากหน่วยงานภาครัฐสำหรับลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 นี้ THG และบริษัทย่อยฯ จะพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมเป็นร้อยละ 100 ของมูลหนี้คงเหลือ ซึ่งจะมีมูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ ดังกล่าวสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงผลขาดทุนด้านเครดิตและเป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง
1.2 ลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วยซึ่งรับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยตนเอง โดยไม่ผ่านบุคคลที่ 3 เช่น บริษัทประกันสุขภาพ (ลูกหนี้ Self-pay) ในปี 2566 บริษัทย่อยของ THG อย่าง บริษัท โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จำกัด (THB) ได้บันทึกบัญชีลูกหนี้คงค้างในกลุ่มลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 42 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีอย่างละเอียดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 THG ได้พิจารณาแล้วว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่อาจไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ เพื่อให้การบันทึกบัญชีสะท้อนถึงสภาพการณ์ที่แท้จริงและสอดล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง THG จึงได้ตัดสินใจตั้งค่าเผื่อไว้เต็มจำนวนสำหรับยออดลูกหนี้ดังกล่าว
1.3 ลูกหนี้การค้าอื่นและลูกหนี้อื่น ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทย่อยของ THG อย่าง บจ. ตรังเวชกิจ ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวน 1 ล้านบาท สำหรับรายการลูกหนี้การค้าอื่น ซึ่งเป็นการตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งค้างชำระนานเกินกว่า 180 วัน เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ด้านเครดิตของลูกหนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาเดียวกัน THB ได้ตั้งค่าเผื่อฯ เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท สำหรับรายการลูกหนี้อื่น
โดยบริษัทฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถเรียกก็บเงินได้ และถือเป็นรายการอันควรสงสัย โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบของราชการอันควรสงสัย และ ได้จัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว
- รายการกับ Bewell Saigon Health Clinic Company Limited โดยในปี 2566 THG ได้เข้าทำข้อตกลงร่วมทุนกับ IFF Holdings Joint Stock Company เพื่อจัดตั้ง “บริษัทโฮลลิ้ง” โดย IFF Holdings Joint Stock Company จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 60 และ THG (หรือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจาก THG) จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 40 (บริษัทโฮลดิ้ง)และบริษัทโฮลดิ้ง จะถือหุ้นร้อยละ 100 ใน Bewell Saigon Health Clinic Company Limited (Bewell) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใน ประเทศเวียดนาม เพื่อดำเนินธุรกิจคลินิกตรวจสุขภาพเชิงลึก โดย IFF Holdings Joint Stock Company มิได้เป็นบุคคคลที่เกี่ยวโยงกันของ THG แต่อย่างใด
ขณะที่ในปี 2566 และ 2567 THG ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินในรูปแบบเงินให้กู้ยืมแก่ Bewell เพื่อใช้สำหรับการตกแต่งสถานที่ ซื้ออุปกรณ์ เครื่องมือ และการเช่าพื้นที่สำหรับการตั้งคลินิก มีระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ณ ปัจจุบัน Bewell มีการะหนี้คงค้างประมาณ 49 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย)
นอกจากนี้ ผู้ร่วมทุน IFF Holdings Joint Stock Company ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Bewell เช่นกัน จำนวน ประมาณ 12.5 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) พร้อมทั้งสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ทางการเงิน เช่น การจัดหาสถานที่ การบริหารและควบคุมกระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนการจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับเงินกู้บางส่วนซึ่ง THG ได้ให้แก่ Bewell จำนวนประมาณ 12.6 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระแล้วนั้น THG อยู่ระหว่างการเจรจาแปลงหนี้ดังกล่าวเป็นเงินลงทุนในบริษัทโฮดดิ้ง และ Bewell โดยมีกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2568 ในส่วนของใบอนุญาตดำเนินการคลินิกของ Bewell นั้น THG คาดการณ์ว่า Bewell จะ ได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาสแรกของปี 2568
3.รายการเกี่ยวกับหุ้นกู้ของบริษัทฯ จากผลการดำเนินงานของ THG และบริษัทย่อย ซึ่งไม่เป็นไปตามคาคการณ์ รวมถึงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ THG ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่ THG ทำไว้กับ Credit Guarantee and Investment Facility, a trust fund of the Asian Development Bank (CGIF) ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้หุ้นกู้ของ THG อย่างไรก็ตามการที่ THG ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่กำหนดไว้ตามสัญญาได้นั้นไม่มีผลทำให้ผู้ค้ำ ประกัน หุ้นกู้สามารถเพิกถอนการค้า ประกัน หุ้นกู้ได้และไม่มีผลทำให้บริษัทฯ ตกเป็นผู้ผิดนัด ชำระหนี้ตามหุน้กแต่อย่างใด
- รายการเกี่ยวกับโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้
4.1 สถานะและความคืบหน้าของการขายโครงการ บริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด (ธนบุรี เวลบีอิง) ยังคงดำเนินการขายโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ ดี้ ตามปกติ ซึ่งโครงการมีจำนวนห้องทั้งหมด 494 ห้อง
ณ วันที่ 30 กันยาขน 2567 โครงการมีจำนวนห้องที่ยังไม่ได้ขายจำนวน 234 ห้อง โดย ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การออกบูธประชาสัมพันธ์โครงการ และการนำเสนอโครงการผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความรับรู้ในตัวโครงการอย่างสม่ำเสมอและในเดือนธันวาคม 2567 ธนบุรี เวลบีอึ้ง เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 3 ห้อง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้รับผลกระทบจากข่าวต่าง ๆ ในทางลบ ทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 2 ห้อง และขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดสำเร็จเพียง 1 ห้อง
4.2 การเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน รายการซึ่งมีการเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน คือ ที่ดินที่ ธนบุรี เวลบีอึ้ง ได้จัดสรรไว้สำหรับการพัฒนา โครงการ จิฒณ์ เวลบีอึ้ง เกาน์ตี้ เฟส 2 และ 3 ในอนาคต โดยที่ดินดังกล่าวมีขนาดพื้นที่ 28,469.44 ตร.ว. มูลค่าต้นทุน 840.39 ล้านบาท ซึ่งเดิมจัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประเมินสถานการณ์โดยรอบคอบ THG เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงที่จะยังไม่มีการเริ่มต้นก่อสร้าง หรือพัฒนาในระชะเวลา 1 ปีข้างหน้า ซึ่งตามมาตรฐานบัญชีหากสินทรัพย์ไม่สามารอสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะเวลาสั้นและมีลักษณะการถือครองเพื่อการพัฒนาในระยะยาว THG จำเป็นต้องปรับปรุงการจัดประเภทของที่ดินดังกล่าวจาก “สินทรัพย์หมุนเวียน” เป็น “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” เพื่อให้สะท้อนถึงลักษณะการใช้งานจริง และสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต
4.3 การขายห้องชุดของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2567 ธนบุรี เวลบีอิ้ง มีรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการขายห้องชุดแบบตกแต่งครบ (Fully Fumished) ให้กับ บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จํากัด ซึ่งราการขายดังกล่าวได้รวมค่าเฟอร์นิเจอร์ไว้ด้วย แต่เนื่องจากการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ยังไม่แล้วเสร็จ ธนบุรี เวลบีอึ้ง จึงยังไม่สามารถรับรู้รายได้ใน ส่วนค่าเฟอร์นิเจอร์ตามมาตรฐานบัญชีได้ ต่อมาบริษัทดังกล่าวได้ขอยกเลิกการติดตั้งเฟอร์มิเจอร์ และ ธนบุรี เวลอิ้ง ได้หักกลบลบหนี้ระหว่างรายการค้างรับ และรายการค้างจ่าย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านนบาท นี้ไม่ถือเป็นหนี้สินทางบัญชีอีกต่อไป