“หุ้นปิโตรฯ-ส่งออก” บวกคึก! เก็งอานิสงส์ “จีน” ฟื้นเศรษฐกิจกระตุ้นใหญ่ 15 ล้านลบ.!
“หุ้นปิโตรฯ-ส่งออก” บวกคึก! เก็งอานิสงส์จีนฟื้นเศรษฐกิจกระตุ้นใหญ่ 15 ล้านล้าน! สูงเป็นประวัติการณ์ ทุ่มงบก่อสร้างทางรถไฟ สนามบิน หนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสีเขียว พร้อมเพิ่มทุนธนาคารรัฐรายใหญ่ ด้านโบรกฯจัดโผ 30 หุ้นรับประโยชน์จีนฟื้นปี 68
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(25ธ.ค.67) ราคาหุ้นกลุ่มส่งออก กลุ่มปิโตรฯ และแพ็กเกจจิ้งบวกคึกนำโดย บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ณ เวลา 10:37 น. อยู่ที่ระดับ 20.20 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 1.51% ราคาสูงสุด 20.20 บาท ราคาต่ำสุด 19.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 29.50 ล้านบาท
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ณ เวลา 10:39 น. อยู่ที่ระดับ 24.60 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.07% ราคาสูงสุด 24.70 บาท ราคาต่ำสุด 24.30 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 106.79 ล้านบาท
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ณ เวลา 10:40 น. อยู่ที่ระดับ 171.50 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 0.29% ราคาสูงสุด 172.50 บาท ราคาต่ำสุด 170.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 53.56 ล้านบาท
บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ณ เวลา 10:42น. อยู่ที่ระดับ 25.75 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.98% ราคาสูงสุด 25.75 บาท ราคาต่ำสุด 25.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 16.00 ล้านบาท
บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ณ เวลา 10:44 น. อยู่ที่ระดับ 17.70 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 1.72% ราคาสูงสุด 17.90 บาท ราคาต่ำสุด 17.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 49.71 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานโดยอ้างอิงสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ทางการจีนได้เห็นชอบออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษวงเงิน 3 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 15 ล้านล้านบาท ในปี 2568 นับเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 1 ล้านล้านหยวนในปีนี้ และเข้าช่วงจังหวะที่จีนเตรียมรับมือผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งช่วงเดือน ม.ค. 2568
โดยแหล่งข่าว ระบุว่า เงินที่ได้จะถูกนำไปใช้หลายด้านเพื่อกระตุ้นการบริโภค ทั้งแผนอุดหนุน การปรับปรุงอุปกรณ์ภาคธุรกิจ และการลงทุนอุตสาหกรรมขั้นสูง โดยเฉพาะ “สองโครงการใหญ่” และ “สองโครงการใหม่” ที่จะได้รับจัดสรรประมาณ 1.3 ล้านล้านหยวน
สำหรับโครงการใหม่นี้ รวมถึงการให้ประชาชนนำรถยนต์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ามาแลกซื้อใหม่ในราคาพิเศษ และการสนับสนุนให้ธุรกิจปรับปรุงเครื่องจักรขนาดใหญ่ ส่วนโครงการใหญ่ เน้นการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ เช่น ทางรถไฟ สนามบิน และพื้นที่เกษตร รวมถึงขีดความสามารถด้านความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้ จีนยังเตรียมทุ่มเงินกว่า 1 ล้านล้านหยวนในการลงทุนส่งเสริม “แรงขับเคลื่อนการผลิตใหม่” หมายถึงอุตสาหกรรมล้ำสมัย เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ เซมิคอนดักเตอร์และพลังงานสีเขียว พร้อมกับจัดสรรส่วนที่เหลือเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารรัฐรายใหญ่ ๆ ที่กำลังเผชิญปัญหากำไรลดและหนี้เสียพุ่ง
โดยการออกพันธบัตรรอบใหม่นี้คิดเป็นสัดส่วน 2.4% ในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของจีนปี 2566 เทียบกับการออกพันธบัตรพิเศษเมื่อปี 2550 ที่มีมูลค่า 1.55 ล้านล้านหยวน หรือ 5.7% ของ GDP ในขณะนั้น
สำหรับในการประชุมวางกรอบนโยบายเดือนนี้ ผู้นำจีนประกาศจะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ ออกพันธบัตรเพิ่ม และผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายงานว่าผู้นำจีนเห็นชอบให้เพิ่มการขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีหน้า ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ยังคงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ราว 5%
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า เป็นการส่งสัญญาณการฟื้นตัวของภาคบริโภคจีนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขณะที่แรงหนุนจากการเร่งเดินหน้าเศรษฐกิจ เชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะเป็นผลกระทบเชิงบวกส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวในไทย เนื่องจากจีนถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทย
“ไทยจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว เนื่องจากไทยมีมูลค่าส่งออกไปจีนเป็นลำดับ 2 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 15.5% ของมูลค่าส่งออกในไทยทั้งหมด และหากพิจารณาในมุมของจีนก็นำเข้าสินค้าจากไทยสูงเป็นลำดับ 13 หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1.83% ของมูลค่านำเข้าในจีนทั้งหมด และมีโอกาสเสริมให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยมากขึ้นในอนาคต”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกหุ้นไทยอิงภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว อาทิ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองบวกต่อหุ้นอิงจีน นำโดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC , IVL , บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC , บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU , SCGP, กลุ่มท่องเที่ยว อาทิ AOT, บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA โดยแนะนำ “ซื้อ” SCC ราคาเป้าหมาย 225 บาท IVL ราคาเป้าหมาย 28.2 บาท และ PTTGC ราคาเป้าหมาย 30 บาท
นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณนักท่องเที่ยวจีนสัปดาห์ล่าสุดเป็นบวก โดยบริการเที่ยวบินจีนมาไทยเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากสัปดาห์ก่อน เป็นบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ เชิงกลยุทธ์ ระยะสั้นประเมินเป็นภาพบวกต่อหุ้นอิงภาคบริการ ท่องเที่ยว ค้าปลีก อาทิ AOT, CPALL, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW และ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เน้น AOT ราคาเป้าหมาย 64.5 บาท , CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท และ AWC ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเป็น sentiment เชิงบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็กเกจจิ้ง, พลังงานต้นน้ำ, โลจิสติกส์, ยางพาราและส่งออกอาหารไปจีน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1)กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็กเกจจิ้ง อาทิ PTTGC, IVL, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC, SCC, SCGP เนื่องจากอำนาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นเสริมให้มีการอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่า SCGP จะได้ประโยชน์มากที่สุดเนื่องจากมีรายได้โดยตรงจากส่งออกไปจีน
2)กลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, BANPU เนื่องจากอำนาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นจะส่งผลบวกต่อความต้องการใช้พลังงานต้นน้ำ ทั้งนี้ เชื่อว่า PTTEP จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการที่จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก
3)กลุ่มโลจิสติกส์ อาทิ บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL, บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL, บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE, บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO, บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD เนื่องจากจะส่งผลบวกต่อกิจกรรมการขนส่งดีขึ้น จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดย RCL และ PSL จะได้ประโยชน์มากกว่าจากอัตราค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
4)กลุ่มยางพารา อาทิ STA, บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH, บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกยางสำคัญของไทย โดยเฉพาะยางแท่ง ซึ่งตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนราว 40-50% ของส่งออกยางแท่งรวม ทั้งนี้คาด STA จะได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากจีนสูงถึง 50%
5)กลุ่มส่งออกอาหารไปจีน อาทิ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN, บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO, บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกใหญ่ของผู้ประกอบการหลายราย โดย COCOCO มีสัดส่วนรายได้จากจีนประมาณ 28% ของรายได้รวม ส่วน PLUS มีสัดส่วนมากกว่า 20%ขณะที่ TKN มีสัดส่วนรายได้จากจีนที่ 22-24% ของรายได้รวม Top picks
โดยเลือกหุ้น Top picks ได้แก่ SCGP, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER, บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO