2 มาตรฐาน ยังไม่สิ้น

ก่อนอื่นเลยในวาระส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ก็ขอส่งความสุขทั้งเมอร์รี คริสต์มาส และแฮปปี้นิวเยียร์ให้ผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ


ก่อนอื่นเลยในวาระส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ก็ขอส่งความสุขทั้งเมอร์รี คริสต์มาส และแฮปปี้นิวเยียร์ให้ผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ เท่าที่โอกาสอำนวยให้

เศรษฐกิจจากการคาดการณ์จะโตแค่ 2.5% ก็ขอให้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% หรือ 3.0% ได้ก็จะเป็นเรื่องดี ตลาดหุ้นก็ขอให้เป็นแหล่งบริหารเงินออมที่ไว้ใจได้ของนักลงทุนยิ่งขึ้น และปีหน้าก็ขอให้สังคมไทยสงบร่มเย็นขึ้น “สงครามสี” และเรื่อง “2 มาตรฐาน” ก็ขอให้เพลา ๆ ลงหน่อย

รัฐบาลจะดีหรือเลว คนทั้งสังคมก็จะมองเห็นได้เอง เลือกตั้งคราวหน้า ก็จะได้เลือกรัฐบาลดี-ไม่เอารัฐบาลเลว เข้ามา ต่างชาติก็จะได้อ่านทิศทางการลงทุนได้แจ่มแจ้งชัดเจน ไม่ต้องมาประเมินสถานการณ์การเมืองกันเป็นรายเดือน-รายไตรมาสเหมือนที่ผ่านมา

การเมืองบนถนน ควรยุติลงได้เสียที!

ปัญหาการขาดคุณสมบัติเข้ารับตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติของคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ได้รับการยืนยันจากปลัดกระทรวงคลังและนายกรัฐมนตรีแล้วว่า ถูกกฤษฎีกาตีตก เพราะเคยรับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีของนายกฯ เศรษฐา และประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชน

แต่เผอิญมีแนววิเคราะห์จากปรมาจารย์กฎหมาย (บิดาแห่งข้อยกเว้น) อย่างดร.วิษณุ เครืองาม สมัยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีมาก่อนว่า การดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง และไม่ได้รับเงินเดือนจากทางราชการ

โดยแนววิเคราะห์เช่นนี้ ก็ทำให้นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งก็เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาเช่นเดียวกัน  สามารถไปสมัครและได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้โดยไม่ขาดคุณสมบัติ และก็ดำรงตำแหน่งมาได้จวบจนปัจจุบันนี้ โดยไม่มีกฤษฎีกาหรือหน่วยงานใดทำการโต้แย้ง

มิหนำซ้ำ ในการคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติคราวนี้ นายเศรษฐพุฒิยังได้เสนอชื่อนายกุลิศ สมบัติศิริ เป็นตัวแทนแบงก์ชาติให้คณะกรรมการคัดเลือกตัดสิน

นี่มันสองมาตรฐานอีกแล้ว ทั้งคุณเศรษฐพุฒิ-กุลิศ ไม่มีปัญหาคุณสมบัติ แต่ทำไมกิตติรัตน์มีปัญหา

เรื่องของการเมืองบนท้องถนนก็เช่นกัน ปัญหา MOU 2544 ที่มีทั้งสาระข้อพิพาทเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่ทับซ้อน ที่ทั้งสองชาติต้องการหาทางพัฒนาร่วมกัน แต่ก็มีการปั่นปลุกอารมณ์กันว่า ไทยจะเสียดินแดนกระทั่งเกาะกูด เรียกร้องให้รัฐบาลสั่งยกเลิก MOU

หากไม่ยกเลิก มีเรื่อง! จะระดมคนมาทำการโค่นล้มรัฐบาล

ขอให้คำนึงถึงความเป็นจริงสักหน่อยเถอะว่า อาณาเขตทะเลอ่าวไทยช่วงไทย-กัมพูชา เป็นช่วงที่แคบมาก เมื่อฝ่ายหนึ่งขีดเส้นทางทะเล 12 ไมล์ (กฎหมายอาณาเขตทะเลสมัยนั้น) อีกฝ่ายหนึ่งก็ขีด 12 ไมล์ (ราว 1.8 กม.ทางบก) เช่นกัน มันก็เกิดเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ

เขาถึงเรียกว่า OCA (Overlapping Claims Area) หรือพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล

ข้อพิจารณาประการต่อมา ก็คือ หลัง MOU 2544 มาเป็นเวลา 23 ปี ก็ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลไทยชุดใดทำเรื่องขอยกเลิก MOU ดังกล่าวเลย แม้แต่ในช่วงครองอำนาจยาวนานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ (2557-2566) ก็ไม่ปรากฏเลยว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นผู้นำยกเลิก MOU ขายชาติตามอ้าง

นอกจากนั้น ก็ยังมีการตั้งรองนายกฯ พล.อ.ประวิตรเป็นประธานคณะทำงาน JCT ฝ่ายไทยเสียด้วย ไม่เห็นจะมีขบวนการรักชาติกลุ่มไหนไปเรียกร้องเอากับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เหมือนกับที่กำลังก่อหวอดเอากับรัฐบาลแพทองธารกันอยู่เลย

แปลกนะครับ “ขบวนการแบงก์ชาติ” กับ “ขบวนการล้ม MOU” กลับกลายเป็นขบวนการเดียวกัน และก็มีวัตรปฏิบัติเช่นเดียวกันแบบ “สองมาตรฐาน” มาตลอด

เดี๋ยวนี้การทำมาหากินก็ฝืดเคืองมากอยู่แล้ว ขอให้ช่วยกันทำบ้านเมืองให้สงบหน่อยเถอะ การข่มขู่กรรโชกเพื่อหวังประโยชน์ของคนบางกลุ่ม รังแต่จะซ้ำเติมวิกฤต

ชาญชัย สงวนวงศ์

Back to top button