แนะเก็บหุ้นกลุ่ม “Domestic” ชู 3 ตัวเด่น ADVANC-BTS-SC
บล.กรุงศรี ประเมิน SET สัปดาห์นี้ไซด์เวย์อัพ แนะเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม Domestic ได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนท่องเที่ยวคึกคัก และเงินบาทแข็งค่า ชูหุ้นเด่น ADVANC-BTS-SC
“สำนักข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ (30 ธ.ค. – 2 ม.ค.68) โดยเป็นบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ประเมินตลาดหุ้นไทย “Sideways Up” ให้กรอบแนวรับ 1395-1386 จุด และต้านอยู่ที่ระดับ 1426-1435 จุด โดยตลาดหุ้นผ่านช่วงปรับมุมมองวงจรดอกเบี้ย และนโยบาย Trump 2.0 ระดับหนึ่ง และอยู่ในโซน Value ระยะกลาง 1420-1370 จุด ประเมินมีโอกาสเห็น Window Dressing ส่งท้ายปี โดยปัจจัยในประเทศที่ส่งผลต่อดัชนี SET Index ที่แนะนำให้นักลงทุนติดตาม คือ
หุ้นที่เข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD, บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 และ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET
หุ้นที่หลุดออกจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR และ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA
หุ้นที่เข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS, บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 และ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO
ส่วนหุ้นที่หลุดออก SET100 รอบนี้ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK, บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF, บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH และ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA
ทั้งนี้ติดตามรายงาน PMI ภาคผลิต ธ.ค. 24 ในวันที่ 2 ม.ค. 2025 อีกทั้งการไถ่ถอนกองทุน LTF ซึ่งครบกำหนด พร้อมประเมิน LTF ในปี 2019 ที่จะเริ่มขายได้ในปี 2025 ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินยอดซื้อในปีนั้นประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท ซื้อทุนเฉลี่ยที่ดัชนี SET Index ระดับ 1642 จุด โดยคิดจากราคา Mid price และ ยอดซื้อ LTF ในแต่ละเดือน
โดยหากประเมินจากระดับดัชนีปัจจุบัน คาดว่าแรงขายจะมีน้อยในช่วงเดือนม.ค. เนื่องจากนักลงทุนที่ลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผลขาดทุนอยู่ และมีโอกาสที่นักลงทุนจะรอไปขายในช่วงปลายปีมากกว่า โดยรอให้ขาดทุนน้อยลง และรอขายออกมาเพื่อสลับไปซื้อกอง TESG ลดหย่อนภาษี
ส่วนหากประเมินจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังพบว่าแรงขาย LTF ส่วนใหญ่จะขายหนักในเดือนม.ค. และค่อยๆ ขายในเดือนที่เหลือ โดยค่าเฉลี่ย 3 ปี ของปี 2017-2019 มีแรงขาย LTF ในเดือนม.ค. ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท และทั้งปีเฉลี่ย 4.7 หมื่นล้านบาท กว่าความเสี่ยงที่จะมีแรงขาย LTF ปี 2019 ครบกำหนด 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดแรงขายจะจำกัด จากระดับ Index ในปี 2016 ซึ่งสูงเฉลี่ย 1640 จุด vs ปัจจุบันที่ประมาณ 1400-1410 จุด
นอกจากนี้มีปัจจัยภายนอกมีเพียงรายงานดัชนี PMI เดือน ธ.ค. โดยประเทศหลักสหรัฐฯ ประเมินยังอยู่ในทิศทางบ่งชี้ภาพ Goldilocks to Soft Landing นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองสหรัฐฯที่ใกล้เข้าสู่ช่วงการแต่งตั้งนาย Donald Trump ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2025 นี้
ขณะที่เปิดปี 2025 คาดมีแรงขับเคลื่อน January Effect จากความคาดหวังเชิงบวกการเติบโตเศรษฐกิจ GDP ปี 2025 เร่งสู่ 2.9% จาก 2.7% ในปี 2024 และกำไรตลาด เพิ่มขึ้น 12% โดย หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ได้แก่ ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร สื่อสาร และไฟฟ้า ได้ประโยชน์มาตรการรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนท่องเที่ยวคึกคัก และเงินบาทแข็งค่า โดยมีหุ้นเด่นประจำสัปดาห์ คือ
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC คาดกำไรไตรมาส 4/67 มีแนวโน้มเด่น และ Yield สูงในช่วงต้นปี โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 305 บาท
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS คาดเป็นหุ้น Turnaround ปี 2568 มีพัฒนาการบวกเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.49 บาท
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC คาดรับเศรษฐกิจภายในฟื้นเร่ง รวมถึงได้แรงหนุน Yield สูงในช่วงต้นปี โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 135 บาท