พาราสาวะถี
เพิ่มความดุดัน จัดหนักขึ้นสำหรับการขึ้นเวทีช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทยหาเสียงที่เชียงราย ของ ทักษิณ ชินวัตร
เพิ่มความดุดัน จัดหนักขึ้นสำหรับการขึ้นเวทีช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทยหาเสียงที่เชียงราย ของ ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าที่จะตามมาคือ การถูกจับผิดเพื่อนำไปขยายผล ถือเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ตกเป็นเป้าไม่ว่าจะขยับทำอะไรก็ตาม ถามว่าคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมายาวนานจนปูนนี้แล้ว จะไม่รู้อะไรควรหรือไม่ควรเช่นนั้นหรือ รู้ทั้งรู้ท่วงทำนองที่ขับเคลื่อนแบบนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องกลายเป็นตำบลกระสุนตก
น่าจะหมดยุคกลอนพาไป พูดเอามันกันแล้ว เมื่อมองไปยังแต่ละเรื่องที่นายใหญ่เปิดประเด็น มีทั้งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะขับเคลื่อน และการท้ารบกับฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะบรรดานักร้องทั้งหลาย จะเรียกแขกไปเพื่ออะไร อีกนัยหนึ่งอาจมองได้ว่าถ้าทุกเรื่องพุ่งเป้ามาที่ตัวเอง แพทองธาร ชินวัตร ก็จะได้ทำงานในฐานะผู้นำประเทศอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรไปกวนใจ การเมืองเป็นเรื่องของพวกเขี้ยวลากดินที่จะฟาดฟันกัน นักเลือกตั้งรุ่นใหม่ ควรได้ใช้เวที มีพื้นที่ในการแสดงความสามารถมากกว่า
อย่างไรก็ตาม โจทย์ที่ทักษิณตั้งไว้บนเวทีปราศรัยหนนี้ อาจจะทำให้แพทองธารที่จะไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ที่นครพนมวันที่ 12 มกราคมนี้ต้องคิดหนัก เพราะจะเร้าความสนใจ ปลุกความฮึกเหิมของมวลชนที่จะเป็นฐานสนับสนุนได้ดีเหมือนผู้เป็นพ่อหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับสไตล์ที่แม้จะมีความเหมือนกันในเรื่องของหน้าตา แต่บุคลิกและการนำเสนอ ความมั่นใจ วิธีการสื่อสารนั้น ต้องยอมรับว่า ผู้เป็นลูกอาจดูนิ่งและทำได้เนียนตากว่าเสียอีก
ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มองไปยังผลสำเร็จของสิ่งที่คิดไว้ และจะทำ จึงทำให้แนวทางต่างไปจากการเมืองในรูปแบบเดิม ๆ ด้วยเชื่อมั่นว่าหากกำหนดรูปแบบ วางแนวทางปฏิบัติไว้ชัดเจนย่อมสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ ขณะที่การเมืองของนักการเมืองอาชีพ มักจะสอดแทรกด้วยเงื่อนไขว่าด้วยผลประโยชน์และพวกพ้อง จึงส่งผลต่อท่าทีที่แสดงออกส่วนใหญ่มักจะแทงกั๊ก แต่กับนายกฯ หญิงหลายครั้งหลายหนที่แสดงออกต่อการถูกถามอย่างชัดเจนผ่านทั้งสีหน้า แววตา และคำตอบ
การประเดิมศักราชใหม่ด้วยจังหวะก้าวที่ดุเด็ด เผ็ดมันเช่นนี้ของนายใหญ่ นั่นแสดงให้เห็นว่า การเมืองหลังจากนี้ดีกรีความร้อนแรงจะเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่สนามเลือกตั้งนายก อบจ.เท่านั้น ในสภาก็เริ่มมีจุดปะทะทางความคิดให้เห็นแล้วระหว่าง พรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างประชาชนกับพรรคแกนนำรัฐบาล นั่นก็คือ การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ที่เพื่อไทยเตรียมจะนำเข้าสู่ที่ประชุม สส.ของพรรควันที่ 7 ธันวาคมนี้ เพื่อประกบร่างของฝ่ายค้าน
แรกเริ่มเดิมทีพรรคประชาชนก็ดีใจ ที่ร่างของตัวเองจะได้รับการผลักดันให้เข้าสู่ที่ประชุมของรัฐสภา โดยการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย แต่ทำไปทำมากลายเป็นว่า เมื่อมีร่างมาประกบ บนเส้นทางที่แตกต่างกัน พรรคหนึ่งมีเรื่องของการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ขณะที่อีกพรรคไม่แตะประเด็นร้อนนี้ มันย่อมทำให้เห็นแล้วว่าปลายทางจะมีบทสรุปอย่างไร โดยที่ ชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าทีมกฎหมายของเพื่อไทย ย้ำว่า ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นจุดยืนของแต่ละพรรค ไม่ขอวิจารณ์ว่าใครถูกใครผิด
นี่คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย ตราบใดที่ยังขับเคี่ยวกันอยู่ในระบบรัฐสภา ย่อมถือว่าเป็นความเห็นต่างที่ผู้แทนประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะเสนอและแสดงออกได้ สุดท้ายต้องไปวัดกันด้วยเสียงการลงมติ ไม่ว่าจะจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมรัฐสภา ต้องไม่ลืมว่าการเคยร่วมกันเป็นพรรคฝ่ายค้านในยุครัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทั้งเพื่อไทยและอนาคตใหม่ หรือก้าวไกลในเวลานั้น มีหลายเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน และไม่ได้แสดงความเป็นเอกภาพ
มันจึงส่งผลมาถึงการเลือกตั้ง กระทั่งการจับมือกันเตรียมตั้งรัฐบาลที่รู้ทั้งรู้ไม่มีทางที่ก้าวไกลจะได้ก้าวสู่อำนาจบริหารประเทศ ดังนั้น เรื่องใดก็ตามที่ถือเป็นความอ่อนไหวทางการเมือง ไม่มีวันที่พรรคซึ่งผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนอย่างเพื่อไทยจะต้องเอาตัวไปเสี่ยง ในทางกลับกัน พรรคประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น เพราะเดินมาด้วยแนวทางเช่นนี้จะเปลี่ยนรูปแบบคงไม่ใช่ ต้องไปให้สุดทาง รอโอกาสที่จะมาถึงซึ่งไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่
ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่า พรรคแกนนำฝ่ายค้านยังมีงานที่เป็นความท้าทายรออยู่คือ การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จนถึงขณะนี้มีแต่การโหมประโคมข่าวว่าพร้อม มีข้อมูลที่จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องสะเทือน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมองไปอีกทาง ยังไม่เห็นอะไรที่จะเป็นพิษภัยจนทำให้ประชาชนรู้สึกกังขาต่อการทำหน้าที่ฝ่ายบริหารแม้แต่น้อย ไม่ใช่ความประมาทแต่ด้วยระยะเวลาของการทำงานที่สั้นเกินไป จึงไม่รู้ว่ามีอะไรที่เป็นเรื่องทุจริต ทำงานไม่เรียบร้อย จนถึงขั้นต้องถูกซักฟอกได้
ประกอบกับลีลา การนำเสนอของเหล่าตัวตึงพรรคแกนนำฝ่ายค้านที่ผ่านมาก็ได้เห็นแล้วว่า แต่ละคนจะเน้นหนักไปในเรื่องใด เมื่อใช้ความรู้สึกไปชี้นำ โน้มน้าวทำให้คนเชื่อว่าจะเป็นไปอย่างที่มีการตั้งข้อสงสัย พออีกฝ่ายบอกว่ายังไม่ได้ลงมือทำ และที่กำลังดำเนินการอยู่ หรือที่จะทำเป็นไปด้วยความรอบคอบ ต้องไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย บางอย่างต้องอาศัยการตีความ ใช้เวลา ยังอยู่ในเงื่อนเวลาที่จะดำเนินการ มันจึงขาดสีสัน ย้ำแล้วย้ำอีก ศึกซักฟอกถ้าไม่มีหลักฐานเด็ดประเภทโป้งปิดบัญชีทำอะไรรัฐบาลได้ยาก
คู่ขนานกันมาทุกยุคทุกสมัยกับช่วงจังหวะที่จะมีการซักฟอกรัฐบาล บวกกับพ้นช่วงปีใหม่หนีไม่พ้นข่าวการปรับ ครม. ทักษิณให้สัมภาษณ์ที่เชียงรายยันเอง คุยกับแพทองธารบอก “ยังสบาย ๆ ถ้าทำงานกับรัฐมนตรีชุดนี้ ไม่มีปัญหา ยังไปกันได้ดี” พร้อมการันตีกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พบปะหารือกันอยู่ เรื่องค่าไฟฟ้าต้องหาทางช่วยกัน เบื้องต้นเหมือนจะบอกเป็นนัยไม่มีเขี่ย รทสช.พ้นรัฐบาล หากมองไปยังจุดกำเนิดของรัฐบาลพลิกขั้ว คงจะไม่เกิดภาพหักเหลี่ยมเฉือนคมกันถึงขั้นนั้น แต่ถ้าจะปรับเพื่อสลับสับเปลี่ยนกระทรวงกันให้เหมาะสมอันนี้ไม่แน่
อรชุน