ฟางเส้นสุดท้ายพลวัต 2016
สำหรับคนที่คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลแล้ว พวกเขาพยายามบอกว่ากีฬานี้เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงของโลกธุรกิจที่สโมสรทุกแห่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ต้องยึดถือหลัก FFP (financial fair play) ทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า บางครั้งเรื่องของการทำกำไร จะต้องนำหน้าวัฒนธรรม
วิษณุ โชลิตกุล
สำหรับคนที่คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลแล้ว พวกเขาพยายามบอกว่ากีฬานี้เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงของโลกธุรกิจที่สโมสรทุกแห่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ต้องยึดถือหลัก FFP (financial fair play) ทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า บางครั้งเรื่องของการทำกำไร จะต้องนำหน้าวัฒนธรรม
เหตุผลก็เพราะว่า ทีมที่แพ้บ่อยๆ หรือตกชั้น โยงใยเข้ากับรายได้และฐานะทางการเงินของสโมสรฟุตบอลทุกแห่งเสมอ โดยเฉพาะในฟุตบอลอาชีพ
สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ปีศาจแดง ที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นสโมสรที่มีรายได้และมีแบรนด์อันดับหนึ่งของโลกมาต่อเนื่องนับสิบปี ปัจจุบันถูกแซงหน้าโดยสโมสรอื่นในสเปนไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง รายได้รวมของสโมสรในพรีเมียร์ลีกรวมกัน มากกว่าในลา ลีกากว่า 35% ในแต่ละปีมายาวนาน และนับวันจะถ่างกว้างมากยิ่งขึ้น จากความนิยมในระดับโลกและภายในประเทศ
สามฤดูกาลมาแล้ว นับแต่การวางมือจากไปของเซอร์ อเล็กซ เฟอร์กูสันผู้ยิ่งใหญ่ ต้องเผชิญกับยุคเปลี่ยนผ่าน เหมือนที่เคยเกิดมาแล้วหลังจากยุคจากไปของเซอร์ แมท บัสบี้ในหลายทศวรรษก่อนที่เคยถึงขั้นตกขั้นกันมาแล้ว ไม่สามารถครองแชมป์อะไรได้เลย และที่สำคัญกว่านั้น ไม่เคยสามารถสร้างทีมที่คู่แข่งขนหัวลุกก่อนลงสนามได้อีกเลย
ปีนี้ เป็นฤดูกาลที่เลวร้ายอีกปีหนึ่ง หลังจากที่ผู้จัดการทีมมือฉมัง มีประวัติยาวนานอย่าง หลุยส์ ฟาน กาล ชาวดัตช์เข้ามาคุมทีมเป็นฤดูที่สอง ผลงานกลับย่ำแย่ลงไปอีกชัดเจน จนกระทั่งมีข่าวลือเนืองๆ ว่า เขาจะถูกปลด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ถูกสักที ด้วยเหตุผลที่อ้างกันว่าเพราะ “ไม่เคยมีจารีต” ในการปลดผู้จัดการทีมระหว่างฤดูกาล ซึ่งนอกจากไม่จริงแล้ว ยังผิดยุคสมัยอย่างยิ่ง
จากสถิติของทีมฟุตบอลสมัยใหม่ในยุโรป จะเห็นได้ว่า อายุของผู้จัดการทีมฟุตบอลอาชีพนั้น นับวันจะหดสั้นลงเรื่อยๆ เนื่องจากเดิมพันทางการตลาดลดและรายได้รายจ่ายมหาศาลแต่ละปี ทำให้มีความจำเป็นต้องคว้าเอาชัยชนะมาครองให้ได้ตามเป้าหมายที่แฟนบอลเรียกร้องต้องการ
วันนี้ เมื่อผลงานของทีมกำลังตกต่ำ คำถามที่ตามมาคือ การปลดผู้จัดการทีมหรือไม่ ได้เกินเลยไปเสียแล้ว เพราะโอกาสที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะคว้าน้ำเหลวในปีนี้ เห็นถนัดจริงจังมากขึ้น และจะทำให้รายได้กับกำไรของทีมหดหายไปจำนวนมหาศาล
แรงเทขายหุ้นของทีมนี้ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันในตลาดหุ้น 3 แห่งที่ทีมไปจดทะเบียนในตลาดคือ ลอนดอน นิวยอร์ก และสิงคโปร์เ เมื่อ 4 ปีก่อน ตามแผนระดมทุนระดับโลกของตระกูลเกลเซอร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่สัญชาติอเมริกัน ทำให้ราคาร่วงจากระดับ 18 ปอนด์ต่อหุ้นเหลือแค่ 13 ปอนด์ต่อหุ้น ต่ำสุดในรอบ 3 ปี นับแต่เข้าตลาดเป็นต้นมา
ราคาหุ้น สะท้อนวิกฤตศรัทธาของนักลงทุนต่อความสามารถทำกำไรในอนาคต ในขณะที่ผลงานของทีม นำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาในตัวผู้จัดการทีม นำมาซึ่งคำถามว่า ผู้บริหารสูงสุดของทีมอย่าง เอ็ด วูดเวิร์ด ที่ทรงอิทธิพลในกิจการ ต้องตัดสินใจเลือกเอาว่า การปลดผู้จัดการทีมเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แฟนบอล และการรักษาเก้าอี้ตัวเองเพื่อให้รายได้และกำไรของกิจการฟื้นกลับคืนมาโดยเร็ว ก่อนที่ราคาหุ้นจะร่วงลงไปหนักกว่านี้
คำตอบในเชิงทฤษฎีคือ ควรจะต้องจัดการทั้งสองทาง นั่นคือ เอ็ด วูดเวิร์ด ต้องตัดสินใจเปลี่ยนผู้จัดการทีมเพื่อฟื้นคืนสู่ความสามารถในการนำมาซึ่งชัยชนะหรือครองแชมป์แบบที่เคยทำในอดีตอีกครั้ง หากทำไม่ได้ เอ็ดจะต้องออกจากตำแหน่งเพื่อสังเวยความล้มเหลวของตนเองในการทำให้ทีมตกต่ำ
คำตอบที่สุดยังไม่ชัดเจน เพราะดูเหมือนว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่จะชี้ขาดการเปลี่ยนแปลง ยังไม่เกิดขึ้น แต่นักวิเคราะห์หุ้นของลอนดอนและนิวยอร์ก พูดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า หลังการประกาศงบงวดสิ้นปี 2015 ในวันนี้แล้ว จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นแน่นอน หากทีมมีกำไรลดฮวบจนราคาหุ้นร่วงแรง
ราคาหุ้นไม่เคยโกหกเกี่ยวกับผลงานของผู้บริหารได้ดีที่สุด แม้ว่าล่าสุดทีมจะสามารถเซ็นสัญญาคว้ารายได้จากสปอน์เซอร์อีกมหาศาล แต่รายได้ส่วนนี้ก็ยังคงมีเงื่อนไขที่แปรผันตามผลงานของทีมด้วยเช่นกัน จึงไม่แน่นอน หากผลงานของทีมยังย่ำแย่ต่อไป
มีการประเมินว่า การร่วงของราคาหุ้นทำให้มาร์เก็ตแคปของทีมนี้ในตลาดหุ้นทั่วโลก ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมาลดไปมากถึง 345 ล้านปอนด์ หรือ 17,600 ล้านบาท ซึ่งหากไม่ดำเนินการแก้ไข จะส่งผลต่อการจัดอันดับเรตติ้งทางการเงินของหุ้นกู้บริษัทในระยะต่อไป
สำหรับคนที่เคยไปชมการแข่งขันที่ขอบสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของทีมในชานเมืองแมนเชสเตอร์ จะเข้าใจดีว่า สโมสรฟุตบอล 2 ทีม คือ ทีมนี้ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นพวกอาหรับ คือ ความคึกคักที่สุดของเมืองที่เหลือแต่ซากของอดีตในฐานะจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกเมื่อกว่า 200 ปีก่อน และปัจจุบันบันยังดำรงฐานะเมืองอุตสาหกรรมใหญ่เป็นอันดับสามของอังกฤษ จะเข้าใจดีว่าเดิมพันของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน เพื่อผดุงรายได้และกำไรในอนาคตนั้น เป็นเดิมพันอันยิ่งใหญ่มากเพียงใด
ผู้บริหารสูงสุดของสโมสรนี้ ควรรู้ดีว่า ถ้าผลงานของทีมในฤดูกาลนี้ ไม่สามารถทำให้ติดท็อปโฟร์ของพรีเมียร์ลีกได้ พลาดคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า จะทำให้สโมสรสูญเสียรายได้มหาศาลแค่ไหน ไม่ใช่แค่ทำให้แฟนบอลขายหน้า แต่ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์สูญเสียฐานะนำที่จะเรียกกลับคืนมาได้ไม่ง่าย เนื่องจากมีต้นทุนมหาศาล
สิ่งที่ชัดเจนคือ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะกลับมาน่าเกรงขามสำหรับคู่แข่งขันเหมือนในอดีตได้หรือไม่ ไม่ใช่เพราะมีนักเตะหรือทีมที่โดดเด่นอย่างเดียวอีกแล้ว แต่ถูกกำหนดชัดเจนโดยอยู่ที่ราคาหุ้น และกำไรที่เป็นตัวเลขชัดเจน