KBANK ชี้กรอบ “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 34.40-35.00 บ. จับตาราคาทองคำ-ทิศทางฟันด์โฟลว์
KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า (13-17 ม.ค.68) ที่ 34.40-35.00 บาท/ดอลลาร์ แนะติดตามสัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ จากถ้อยแถลงเฟด
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า (13-17 ม.ค.) ที่ 34.40-35.00 บาท/ดอลลาร์ จากปิดตลาดวันศุกร์ที่ 10 ม.ค.68 ที่ 34.60 บาท/ดอลลาร์ ในระหว่างสัปดาห์เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่ 34.73 บาท/ดอลลาร์สอดคล้องกับเงินหยวนและสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย
ช่วงต้นสัปดาห์เงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคและเงินหยวนท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากประเด็นนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์
ในช่วงต่อมาเงินบาทขยับแข็งค่าเล็กน้อย หลังจากที่เงินดอลลาร์ ถูกกดดันช่วงสั้น ๆ หลังมีรายงานข่าวระบุถึง แนวทางการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจจะเป็นไปอย่างจำกัดเฉพาะบางกลุ่มสินค้า
อย่างไรก็ดี เงินบาททยอยอ่อนค่ากลับมาอีกครั้งในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวในภายหลัง
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ สวนทางเงินดอลลาร์ที่มีแรงหนุนจากบันทึกประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด (อาทิ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน และดัชนี ISM ภาคบริการ) และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งสะท้อนสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจชะลอแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนม.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของอังกฤษและยูโรโซน และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 และข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนธ.ค. รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยเช่นกัน