เปิดโผหุ้นเด่น! รับอานิสงส์ “ทักษิณ” โชว์วิสัยทัศน์เรียกความเชื่อตลาดทุนไทย

เปิดโผหุ้นเด่น! รับอานิสงส์ "ทักษิณ" โชว์วิสัยทัศน์งาน"Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital" เรียกความเชื่อตลาดทุนไทย ฟากโบรกฯ เชียร์ซื้อแนะ GULF- AOT- BTS- ADVANC- CPAXT- BBIK-MEDEZE


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปาถกฐาพิเศษในหัวข้อ “Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital” จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ โดยมีการกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาตลาดหุ้นในด้านต่างๆ พร้อมแนวทางการส่งเสริมธุรกิจในหลายด้านนั้น ได้เป็นเซนติเมนต์เชิงบวกกับหลายหุ้นที่มีโอกาสเติบโตจากแนวนโยบายที่รัฐบาลจะมีการดำเนินการในระยะถัดไป

ทั้งนี้ ทางนักวิเคราะห์ มองหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปาฐกถาพิเศษ “Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market” ในคืนวันที่ 13 ม.ค.68 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐบมนตรี เช่น

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับข้อมูลสำคัญจากงาน “Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market” นั้น ในส่วนของเรื่องใหม่ ประเด็นที่ให้น้ำหนักมีโอกาสเกิดขึ้นได้ และทำได้เร็ว คือ การลดค่าไฟฟ้าที่มีการชี้แจงแนวทางดูชัดเจน และประเมินความเป็นไปได้มากกว่า 50% และคาดเกิดขึ้นภายใน 2 ปี โดยประเมินส่งผลบวกกับหุ้นไฟฟ้า อาทิ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ตลาดกังวลน้อยลง

นอกจากนี้ เป็นบวกกลุ่มใช้ไฟสูง สื่อสาร เน้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ค้าปลีก เน้น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ส่วนประเด็นอื่นๆ ยังต้องรอติดตามแนวทางเพิ่มเติมในระยะถัดไป

โดยในส่วนของเรื่องเดิมส่วนใหญ่พบว่าทยอยมีพัฒนาการทางบวกจากการทำงานของรัฐบาลในปัจจุบัน อาทิ การเริ่มกระบวนการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือการริเริ่มโครงการแล้ว ทั้งนี้ เรื่องที่ให้น้ำหนักมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า 70% และน่าจะมีความคืบหน้า 1 ปี ได้แก่ การดึงพนันออนไลน์เข้าระบบ, การแก้ไขปัญหา Call Center ซึ่งจะเป็นบวกต่อกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK, บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8

ด้านการพัฒนาการภาคท่องเที่ยว ภาคบริการ คือ Entertainment Complex ส่งผลบวกหุ้นในธีม Entertainment Complex อาทิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)  หรือ AOT, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI และเก็งกำไร ได้แก่  บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA และ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK

ส่วนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท เป็นผลบวกต่อ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS

และการผ่อนคลายให้สิทธิ์พัฒนาที่ดินรัฐฯ เป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาบริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON, บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON และ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK

ส่วนกลุ่มถัดมา ให้น้ำหนักโอกาสเกิดขึ้น 50% และน่าจะคืบหน้า 2-3 ปี คือ เรื่องศูนย์กลางทางการเงิน, การผลักดัน Digital Assets และการดึง New S Curve

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ การกล่าวปาฐกถาพิเศษ เนื้อหาครอบคลุมในหลายหัวข้อ ทั้งเรื่องการผลักดันตลาดทุนไทย (Trust, Transparent, Confident, Sentiment), ธุรกิจที่ควรได้รับการส่งเสริม (Data center, AI, Biotechnology, Entertainment complex), ค่าครองชีพ (ค่าไฟฟ้า, ค่าโดยสาร) ตลอดจนการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ (Global minimum tax, VAT, Negative income tax) และอื่นๆ โดยคาดหวังการเติบโตของ GDP ในปี 2568 ที่ระดับ 3% และปี 2569-70 ในระดับ 4-5%

สำหรับประเด็นดังกล่าวหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปาฐกถาพิเศษของนายทักษิณ ประเมินมีดังนี้

POWER (Overweight) อาจเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาในกลุ่มโรงไฟฟ้าหลังคุณทักษิณบอกว่าการปรับลดค่าไฟให้กระทบเอกชนน้อย อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลในส่วนการปรับลดค่าไฟผ่าน 3 การไฟฟ้าหลักจะกระทบค่าไฟฐานมากน้อยเพียงใด ซึ่งยังไม่ทราบรายละเอียด เป็นประเด็นที่ยังต้องระวัง หุ้นที่อาจเห็นการ rebound ระยะสั้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท),

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท), บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 310.00 บาท, บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH แนะนำ “consensus” ราคาเป้าหมาย 105.75 บาท สนับสนุน Data Center และ AI

บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท สนับสนุนการวิจัยและการใช้ Stem Cell

Ground Transport (Neutral) คุณทักษิณยังเน้นย้ำนโยบายค่าโดยสาร 20 บาท โดยจัดตั้งกองทุน infrastructure fund เดือน ต.ค. นี้ อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวอาจยังต้องใช้เวลาศึกษา และในช่วง 1-2 ปีแรกของการเริ่มใช้นโยบายค่าโดยสาร 20 บาทจะเป็นการชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารก่อน ซึ่งจะเป็นบวกต่อ BEM, BTS

บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ  MEGA แนะนำ consensus ราคาเป้าหมาย 45.60 บาท สนับสนุนธุรกิจการผลิตยารักษาโรคในไทยเพื่อลดการนำเข้า

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 160.00 บาท มีโอกาสได้ประโยชน์จากการลดภาษีปิโตรเลียมที่เป็นไปได้และความคืบหน้าของการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA)

บล.อินโนเวสท์เอกซ์ ระบุ วานนี้จากปาฐกถาในงาน Dinner Talk “CHAT WITH TONY : BULL RALLY THAI CAPITAL MARKET” ของอดีตนายกฯ ทักษิณ โดยมองว่า ประเด็นส่วนใหญ่ที่กล่าวยังคล้ายกับงาน Vision for Thailand 2024 (เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 67)

โดยมีประเด็นที่แตกต่างสำคัญ คือ ครั้งนี้จะเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (SEC, SET, กระทรวงการคลัง) เร่งสร้าง Trust (ความน่าเชื่อถือ), Confidence (ความเชื่อมั่น) และ Sentiment (ความรู้สึก) ให้กลับคืนมาเพื่อหนุนบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ประเด็นด้านการสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจยังคล้ายเดิม คือ เน้นเรื่องการเพิ่มกำลังซื้อและลดค่าครองชีพให้ประชาชน ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม และดึงเงินทุนจากต่างชาติมาไทย

ทั้งนี้ สำหรับกลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยอาจได้ Sentiment บวกจากประเด็นสำคัญที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น คือ กลุ่มขนส่งจากนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF กลุ่มพาณิชย์จากค่าครองชีพที่จะลดลง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC

รวมทั้งกลุ่มนิคม ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ  WHA) กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM

กลุ่มสื่อสาร ได้แก่ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANCบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE จากเร่งส่งเสริมการลงทุน เช่น Data Center ส่วนนโยบายลดค่าไฟมองเป็นลบเล็กน้อยต่อ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แต่ไม่ได้ส่งผลลบมากนักต่อหุ้นโรงไฟฟ้าที่ราคาหุ้นลงมาในช่วงก่อนหน้า (GULF GPSC BGRIM)

ขณะเดียวกันมองว่า มีประเด็นที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ได้แก่ 1) ออก Infrastructure fund เพื่อหนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย 2) ส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น Data Center, AI Hub 3) ลดค่าไฟให้ถูกลง ด้วยวิธีการ เช่น บริหารจัดการต้นทุนของ 3 การไฟฟ้า, ส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, โรงไฟฟ้าต้นทุนสูง (ถ่านหิน, ก๊าซ) เอาเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองและหันไปใช้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนต่ำกว่าเป็นหลักแทน, ลดค่าผ่านท่อของ PTT และ4) ใช้ทรัพย์สินของรัฐเพื่อสร้างธุรกิจและทรัพย์สินใหม่ เช่น ใช้ที่ดิน รฟท. ในโครงการสร้างบ้านเพื่อคนไทย ส่วนประเด็นที่เหลือคาดยังคงต้องใช้เวลาดำเนินการ

มองว่า มีประเด็นที่เป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น ได้แก่ 1) SEC ต้องตอบสนองให้เร็วเรื่อง Good Governance ของ บจ. 2) SET ต้องตรวจสอบเรื่อง high frequency trade (HFT) ไม่ให้เกิดข้อได้เปรียบในการแข่งขัน 3) แนะคลังเพิ่มอำนาจให้ SEC ตรวจสอบ บจ. ไม่ให้ตอบสนองช้าเมื่อมีการกระทำผิดจนทำให้ตลาดขาดความเชื่อถือ 4) แนะ ตลท. หนุนให้ บจ. ที่มี PER, PBV ต่ำ ดำเนินการซื้อหุ้นคืน 5) คลังอยู่ระหว่างศึกษากองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นไทยคล้ายกับ LTF 6) แนะ กลต. ทำตลาด Carbon Credit trade และ7) ไทยต้องพัฒนาตัวเองให้เป็น financial center และสร้างสมดุลระบบนิเวศระหว่างรถไฟฟ้า (อีวี) จีน กับ รถสันดาปญี่ปุ่น

นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า มาตรการที่นายทักษิณเสนอมีศักยภาพที่จะผลักดัน GDP ไทยปี 2568 จาก 3% เป็น 4% ในปี 2569 และ 5% ในปี 70 ผ่าน (1) การสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นที่จะเพิ่ม GDP 0.2-0.3% (2) การนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบที่จะเพิ่ม GDP 2-3% (3) การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์และ AI Hub ที่จะเพิ่มอีก 0.5-1% และ (4) การพัฒนาระบบนิเวศด้าน digital asset ที่จะเพิ่มอีก 0.3-0.5% ซึ่งรวมแล้วมีศักยภาพเพิ่มการเติบโตได้ 3.0-4.8% หากดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) แนะนำ เก็งหุ้นเด่นรับกระแส “Chat with Tony: Bull Rally of Thai Capital Market” ดังนี้ 1.ความน่าสนใจของหุ้นไทย โดยหุ้นไทยจะน่าสนใจขึ้น ขณะที่กองทุนวายุภักษ์ช่วยกระตุ้นตลาด กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ หุ้น Blue-chip ในกลุ่ม SET50 และ SET100

2.แนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาว เป้าหมายจีดีพีเติบโต 5% กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ เทคโนโลยีและพลังงานสีเขียว ได้แก่ GULF, THCOM, LTS, DELTA, BCPG และโครงการ Entertainment complex ได้แก่ BTS, VGI, MBK

3.โครงการเร่งด่วน เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ จูงใจ SMEs กลุ่มที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร แนะนำ KBANK,KTB, BBL

4.อุตสาหกรรมดาวเด่น เช่น การท่องเที่ยว, เกษตรกรรม, Entertainment กลุ่มที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ แนะนำ CRC, PR9, ERW กลุ่มอาหาร แนะนำ AU กลุ่มสื่อ และ Entertainment Complex แนะนำ VGI, PLANB

5.แผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เงินดิจิทัล กระตุ้นการบริโภค กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีกและสินค้าจำเป็น แนะนำ BJC, CRC

6.เศรษฐกิจใหม่ สู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มเทคโนโลยี แนะนำ GULF, TRUE, THCOM, LTS, SKY, BBIK, BE8, DELTA, ROCTEC

และ 7.นโยบายการเงินที่เหมาะสม ใช้นโยบายคุมเงินเฟ้อได้ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มธุรกิจการเงิน แนะนำ MTC, SAWAD กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ AWC, SIRI

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ในมุมเศรษฐกิจคาดหวังจีดีพีปี 2568 เติบโต 3% ปี 2569 เติบโต 4% และปี 2570 เติบโต 5% การเติบโตแบบขั้นบันไดที่สูงขึ้นต่อเนื่อง คาดจะหนุนให้ฟันด์โฟล์วต่างชาติเข้ามา และหนุนตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวดีกว่า(OUTPERFORM) ตลาดหุ้นอื่นๆ ได้ ซึ่งรายละเอียดนโยบายมี ดังนี้

การกระตุ้นภาคบริโภค (C) ค่าไฟฟ้า 3.7 บาท/หน่วย, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, 99 ปี ทรัพย์อิงสิทธิ, จูงใจสำนักงานใหญ่สู่ต่างจังหวัด จะส่งผลดีต่อหุ้น CPALL, CRC, BJC, BEM, BTS, LH, AP, SC

การกระตุ้นภาคเอกชน (I) ค่าไฟ 3.7 บาท/หน่วย จูงใจบริษัทเทคฯ เข้ามาลงทุน, เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์, ถมทะเล, AI Literacy, Biotech Sandbox ดีต่อหุ้น AMATA, WHA, GULF, INTUCH, BE8, BBIK, MEDEZE, SKY, DITTO

การกระตุ้นภาคส่งออก (X) Biotech Sandbox ที่ภูเก็ต รองรับนักท่องเที่ยวรวย, เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์, หาตลาดใหม่ พัฒนาคุณภาพสินค้า ดีต่อหุ้น AOT, CENTEL, MINT, ERW, VGI, BTS, MBK

บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ด้านนโยบายและเศรษฐกิจ มองว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจมากนัก และหลายนโยบายเป็นภาพระยะกลาง-ยาว ไม่ได้เห็นผลในระยะสั้น ซึ่งสรุปประเด็นได้ ดังนี้

1.ส่งเสริมการส่งออก หาตลาดใหม่เพิ่มขึ้นและพัฒนาคุณภาพสินค้า

2.สนับสนุน Data Center และอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยา, semiconductor, AI hub เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ

3.เพิ่ม Soft power โปรโมทสินค้าในแต่ละจังหวัด

4.ส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้ปลอดภัย สะดวกสบาย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

5.Entertainment Complex ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและสร้างรายได้ให้กับภาคท่องเที่ยว

5.รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ผ่านการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund

6.ลดค่าไฟเหลือ 3.7 บาท/หน่วย แต่จะไม่ให้กระทบต่อโรงไฟฟ้า SPP โดยเป็นการลดผ่านการปิดโรงไฟฟ้าเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพ

7.Global Minimum Tax 15% จะให้ BOI หามาตรการมาชดเชย

8.ควรฟื้นกองทุน LTF ที่ลงทุนหุ้นไทยโดยตรง

9.ส่งเสริมเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งรัฐบาลกำลังทำ sandbox ทดลองการรับจ่ายด้วย bitcoin และอยากให้ก.ล.ต. สนับสนุน Cryptocurrency เหมือนที่สหรัฐฯทำ

10.พัฒนาคน ให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

11.แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเด็ดขาด ลดการเผาไร่ และให้เอกชนไม่รับซื้อสินค้าเกษตรที่มาจากการเผาไร่, แก้ปัญหา Call Center ,แก้ปัญหาการพนันออนไลน์และนำธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย

สำหรับมุมมองด้านตลาดทุน นายทักษิณ มองว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอยู่ภายใต้ 3 คำ คือ Trust-Confidence-Sentiment ไม่ค่อยดีนัก และเร่งก.ล.ต-ตลท. ฟื้นความเชื่อมั่นคอยตรวจสอบ Corporate Governance, ควบคุมธุรกรรม HFT นอกจากนี้ หุ้นไทยหลายตัวมี P/BV และ P/E ต่ำ จึงชวนให้บริษัทเหล่านั้นซื้อหุ้นคืน

มองเป็น “บวก” ต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-นิคม-ทุนใหญ่ที่มีโอกาสเข้าประมูลโครงการ Entertainment complex อย่าง AOT, CENTEL, MINT, CPALL, CRC, AMATA, WHA, BTS, STECON, BA  และ MBK

ขณะที่หุ้นโรงไฟฟ้า SPP อาจมีจังหวะ rebound หลังผลกระทบต่อ SPP ไม่มาก อย่าง BGRIM, GPSC, GULF

Back to top button