SCC เด้ง 4% โบรกชี้กำไรปี 68 ทะลุหมื่นลบ. รับธุรกิจปิโตร-ปูนซีเมนต์หนุน ชูเป้า 175 บาท
SCC เด้ง 4% โบรกชี้กำไรปี 68 อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท มองกำไรไตรมาส 1/68 ฟื้นตัว หลังธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัวจากความต้องการสต๊อกใหม่ของจีน ขณะที่กลุ่มปูนซีเมนต์ยอดขายขยับตามโครงการภาครัฐ ให้ราคาเป้าหมาย 175 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (15 ม.ค.68) ณ เวลา 15:09 น. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ราคาอยู่ที่ระดับ 157.50 บาท บวก 6.00 บาท หรือ เพิ่มขึ้น 3.96% มูลค่าซื้อขาย 403.13 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ SCC ไตรมาส 1/2568 จะพลิกมีกำไรเล็กน้อย ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 แต่ยังลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยการฟื้นตัวจากไตรมาส 4/2567 มาจากธุรกิจซีเมนต์มีปริมาณขายฟื้นตามโครงการรัฐ และปิโตรเคมีมีอัตรากำไรฟื้นจากความต้องการสต๊อกใหม่ หรือ demand re-stock ของจีน คาดกำไรสุทธิปี 2568 ฟื้นเมื่อเทียบกับปี 2567 (ฐานต่ำ) ตามการฟื้นของธุรกิจปิโตรเคมี หลังโรงงานลองเซินปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals) หรือ LSP ในเวียดนามกลับมาผลิตในช่วงครึ่งหลังปี 2568 และ product spread ฟื้นจากการปิดโรงผลิต และเลื่อนการ COD ของโรงานใหม่ ส่งผลให้ Supply ตึงตัวขึ้น
ขณะที่ คาดว่าไตรมาส 4/2567 จะขาดทุน 926 ล้านบาท (เทียบกับขาดทุน 1,134 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2566 และกำไร 721 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567) ขาดทุนน้อยลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะไม่มีด้อยค่าธุรกิจซีเมนต์ในเมียนมามาฉุดเหมือนไตรมาส 4/2566 ขณะที่ฝั่งปิโตรเคมีถูกกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามามากทำให้เกิด Oversupply และต้องแบกภาระต้นทุนคงที่ของโครงการ LSP ที่เริ่ม COD แล้วแต่ต้องหยุดผลิตจากระดับ spread ที่ต่ำกว่า cash cost และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยังเผชิญการแข่งขันสูง ส่งผลให้อัตรากำไรลดลง ส่วนการแย่ลง เพราะไม่มีกำไรจากสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนดอกเบี้ย ธุรกิจปิโตรเคมีถูกฉุดจากค่าใช้จ่ายคงที่ของโรง LSP ที่เข้ามาเต็มไตรมาส ซึ่งเงินปันผลจากธุรกิจยานยนต์ไม่พอชดเชย
ทั้งนี้ ได้ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2567-2569 เป็น 5,133 ล้านบาท, 13,574 ล้านบาท และ 22,364 ล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนการฟื้นตัวของธุรกิจซีเมนต์ที่ต่ำกว่าคาด และค่าใช้จ่ายคงที่โรง LSP ที่สูงกว่าคาด พร้อมกับปรับราคาเป้าหมายปีนี้ลงเป็น 175 บาทต่อหุ้น (เดิม 220 บาท)
บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ระบุแนวโน้มการดำเนินงานปี 2568 ของ SCC จะฟื้นตัว แต่คาดจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า เพราะอุปสงค์ยังไม่กลับมาอย่างที่คาด คงรอดูสิ่งที่ SCC จะดำเนินการเพื่อช่วยลดต้นทุนต่าง ๆ จะส่งผลได้เท่าไหร่ รวมถึงการดำเนินงานของ Fajar ผู้นำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินโดนีเซียจะถึงจุดคุ้มทุนได้เมื่อไหร่ และรอผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนด้วย
ทั้งนี้ ผู้บริหาร SCC เปิดเผยถึงแผนจะช่วยให้การดำเนินงานดีขึ้น ดังนี้ 1.ลดต้นทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะ LSP จะทำให้ต้นทุนคงที่ลดลงจากปัจจุบันที่ 950 ล้านบาทต่อเดือน 2.เน้นลดภาระหนี้ และลดงบลงทุนลง 3.คาดจะเห็นการขายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างกำไรออกไป ซึ่งจะมีส่วนเพิ่มกลับมาราว 5,000 ล้านบาท โดยผู้บริหารคาดการณ์ดำเนินงานฟื้นตัวในปี 2568 จากต้นทุนน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับราคาถ่านหินที่ลดลง
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ให้ราคาเป้าหมาย SCC ที่ 172 บาท แม้คาดธุรกิจกำลังจะผ่านจุดต่ำสุด และคาดฟื้นตัวในปีนี้ แต่คาดหุ้นยังมีแรงกดดันระยะสั้นจากผลขาดทุนไตรมาส 4/2567 โดยคาดว่า SCC จะรายงานไตรมาส 4/2567 ขาดทุนประมาณ 700 ล้านบาท (เทียบกับกำไร 721 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 และขาดทุน 1.1 พันล้านบาท ในไตรมาส 4/2566) โดยหลักจากค่าใช้จ่ายคงที่ของ LSP เพิ่มขึ้น ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่ากำไรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจเอสซีจีซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง หรือ CBM และการรับรู้รายได้เงินปันผลตามฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม SCC มองว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งสัญญาณบวกที่จะช่วยให้ธุรกิจเคมิคอลส์ฟื้นตัวปีนี้ ทั้งปัจจัยภายนอก แนวโน้มราคาน้ำมันดิบลดลง ซึ่งช่วยเรื่อต้นทุนวัตถุดิบ การหยุดผลิตของโรงปิโตรเคมีหลายโรงที่ต้นทุนสูง และการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเพื่อเร่งความต้องการ และปัจจัยภายใน ทั้งการปรับโครงสร้างทุนของ LSP เพื่อลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย การริเริ่ม LSP Ethane เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขัน และคาดว่า LSP จะเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้งในกลางปีนี้ ในช่วงที่ราคาวัตถุดิบ Propane ลดลง นอกจากนั้นในปีนี้ SCC ก็มีแผนลด OPEX ในภาพรวมลง 5 พันล้านบาทต่อปี ผ่านโปรแกรมลดค่าใช้จ่าย ลด Working Capital ลด CAPEX รวมถึงการขายสินทรัพย์บางส่วนให้ผู้ลงทุนอื่นเพื่อเพิ่มกระแสเงินสดและบันทึกกำไรจากการขาย