พาราสาวะถี

ปมที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองว่านี่เป็นเกมเตะตัดขากันเองของสองพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญคือ เพื่อไทยกับภูมิใจไทยหรือไม่


ปมที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองว่านี่เป็นเกมเตะตัดขากันเองของสองพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญคือ เพื่อไทยกับภูมิใจไทยหรือไม่ คงต้องไปดูข้อเท็จจริงในคำสั่งที่ ชาดา ไทยเศรษฐ์ เซ็นทิ้งทวนในฐานะรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยยุครัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ที่ว่า ให้กรมที่ดินปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด ความหมายในคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมไปถึงว่าเป็นอำนาจที่สั่งเพิกถอนไปแล้วหรือไม่ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

เพราะ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันเอง ชาดาไม่มีอำนาจเพิกถอน เพราะเป็นอำนาจของ ชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะต้องพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่ใช่เฉพาะคดีอัลไพน์ รวมถึงคดีที่ดินเขากระโดงด้วย ขณะนี้มาถึงจุดที่เป็นดุลยพินิจของรองปลัดกระทรวงมหาดไทยคนดังว่าแล้ว หากไม่ดำเนินการก็จะผิดตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยเจ้าตัวมีเวลาถึงเดือนกันยายนนี้ก่อนเกษียณอายุราชการ

หากยึดตามตัวบทกฎหมายและต้องตัดสินใจแล้ว คงไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีความเห็นเรื่องนี้ไปแล้วว่าจะต้องเพิกถอนกรรมสิทธิ์ด้วยการชี้ว่าการออกเอกสารสิทธิ์ของที่ดินอัลไพน์เป็นโมฆะ และที่ดินกลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ สิ่งที่จะเกิดหลังจากนั้นย่อมมีมิติทั้งทางสังคมและการเมือง ในแง่ของสังคมคือการเยียวยาผู้ซื้อที่ดินโดยสุจริตที่กรมที่ดินจะต้องรับภาระจ่ายชดเชยกันบานตะไท ส่วนทางการเมืองอย่างที่รู้กัน งานนี้มุ่งกระแทกหมัดตรงล้มกระดานรัฐบาลกันเลยทีเดียว

ด้วยข้อกล่าวหา แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนดังกล่าว ก่อนจะโอนให้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นมารดา ก่อนการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บรรดานักร้องทั้งหลายย่อมเฮโลสาระพากันไปยื่นเล่นงานด้วยข้อกล่าวหา ผิดจริยธรรมร้ายแรง แต่จะมีนักร้องบางพวกที่สู้ไปเคาะกะลาไป ในฐานะที่เคยทำคดีเกี่ยวกับสนามกอล์ฟอัลไพน์มาก่อน ใช่ว่าจะไม่มีหนทางชนะคดี มิเช่นนั้น เสนาะ เทียนทอง คงไม่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้

ถามต่อไปว่าเช่นนี้แล้วกรณีที่ดินเขากระโดง บุรีรัมย์ ไม่เข้าข่ายลักษณะเดียวกันหรือ ทั้งหมดต้องว่ากันไปตามแนวทางการต่อสู้ ใครมีอำนาจส่วนไหนใช้กันให้เต็มที่ สุดท้ายไปตัดสินกันตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งสองคดีจะเห็นแนวทางในการทำงานของกระทรวงมหาดไทยแล้วว่า ใช้กลไกแก้ปัญหาแบบไหน สะท้อนภาพของความช่ำชอง ชั้นเชิงที่แพรวพราวทั้งการใช้งานข้าราชการ แง่มุมทางข้อกฎหมาย และเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง

ขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาจากนายกฯ หญิงที่ถูกถามถึงเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นไปในลักษณะ ไม่แยแส ไม่อยากพูดถึง พอนักข่าวถามตั้งข้อสังเกตกรณีที่มีการหยิบยกที่ดินอัลไพน์มาเป็นประเด็นในช่วงนี้หรือไม่ ทั้งที่เคยเคลียร์เรื่องดังกล่าวไปแล้ว ได้มีการย้อนถามสื่อกลับว่า “สังเกตไหมล่ะ” ถือเป็นอีกบทพิสูจน์ความมั่นคงของเสถียรภาพรัฐบาล ที่ประกาศปักธงจะอยู่กันครบเทอม จะรอดสันดอนกันไปถึงวันนั้นหรือไม่ ถ้ามองว่าเรื่องนี้เป็นไฟต์บังคับตามกฎหมายก็ว่ากันไป แต่หากมองเป็นเจตนาเตะตัดขากันทางการเมืองก็น่าจะอยู่ด้วยกันลำบาก

คงเป็นเรื่องเบื้องหลังที่แต่ละฝ่ายจะต้องไปหาทางออกกันในลักษณะตายเอาดาบหน้า หรืออาจจะปล่อยให้กลไกของกระบวนการทางกฎหมายได้ทำงานตามปกติ ซึ่งทุกเรื่องมีเงื่อนเวลาตามขั้นตอน ไม่ได้กระทบต่อภาพรวมของการบริหารประเทศ เพียงแต่หากมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสง่างามของบุคคลในรัฐบาล ก็จะกลายเป็นชนวนชั้นดีของพวกขาประจำ กลุ่มจ้องจะล้มนำไปขยายผลเพื่อจุดกระแส สู่เป้าหมายปลุกระดมล้มกันให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลิกขั้ว เกิดจากเงื่อนไขพิเศษและพลังวิเศษสนับสนุน ย่อมมั่นใจได้ว่าแต่ละเรื่อง แต่ละอย่างที่ถาโถมเข้าใส่จะไม่ระคายเคืองการจับมือกัน วันนี้ หากมองผ่านการชิงชัยสนามเลือกตั้ง อบจ.และนายก อบจ.ที่กำลังจะหย่อนบัตรกันในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ บางสนามเหมือนเป็นการเชือดเฉือนชิงชัยกันเองระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับพรรคสีน้ำเงิน แต่เอาเข้าจริงบางพื้นที่หรือหลายพื้นที่เหมือนเป็นการตีขนาบ เพื่อกำราบคู่แข่งจากพรรคประชาชน

เป็นเจตนาที่จะร่วมกันสกัดไม่ให้พรรคสีส้มมีที่ยืนในสนามท้องถิ่น ซึ่งเหมือนการลดทอนกระแสความร้อนแรงจากผลของการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ไปในตัว แน่นอนว่า บางแห่งเป็นการประสานงากันโดยตรงของเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ถือเป็นปกติทางการเมืองทุกสนามที่ยังคงอยู่ในลักษณะของบ้านใหญ่มีอำนาจ มีบารมี อยู่ที่ตัวช่วย ซึ่งฝ่ายแกนนำรัฐบาลได้เปรียบในแง่ของตัวผู้ช่วยหาเสียงชั้นดีอย่าง ทักษิณ ชินวัตร แต่อย่าลืมว่าอีกฝ่ายก็ดูแลกลไกฝ่ายปกครอง แม้จะท่องคาถาวางตัวเป็นกลาง แต่อย่าลืมประเภทเงียบ ๆ ฟาดเรียบทุกรายมีให้เห็นมาโดยตลอด

ขณะที่ค่ายสีส้มทำไปทำมา จากการเมืองสร้างสรรค์ เป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ สภาพปัจจุบันกลับคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเหมือนบางพรรคการเมืองที่อยู่มานาน คือกล่าวหา ซัดทอดคู่แข่งแล้วทำให้ตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ ขอความเห็นใจ เรียกคะแนนสงสาร ต้องเข้าใจว่า การเมืองสนามท้องถิ่นแม้จะมีความพยายามลากให้เข้ามาเกี่ยวพันกับการเมืองภาพใหญ่ แต่ในระดับพื้นที่ไม่ว่าใครจะขยับแบบไหน คนส่วนใหญ่รับรู้ สัมผัสได้ และสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเลือกใคร

ไม่ต้องไปเสี้ยม ไม่ใส่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยิ่งไปพูดถึงการซื้อเสียงเหมือนเป็นการกล่าวหา บางครั้งพวกที่ชอบเล่นเกมขนมผสมน้ำยา ก็จะใช้สถานการณ์นี้ไปปลุกเร้าคนในพื้นที่ผ่านหัวคะแนน ชี้ให้เห็นว่ามีบางพวกบางฝ่ายกำลังใส่ร้าย ดูถูกประชาชน ต้องช่วยกันเลือกเพื่อสั่งสอน จะเห็นได้ว่าประเภทแผ่นเสียงตกร่องมักจะไม่ได้รับการยอมรับ ยิ่งการเมืองยุคนี้คนอยากเห็นการพูดแล้วทำได้ แก้ไขปัญหาชีวิตให้เป็นผลสำเร็จ พวกที่ทฤษฎีแน่นเปรี๊ยะแต่ไม่รู้ทำได้หรือไม่ จึงกลายเป็นตัวเลือกระดับจะรับไว้พิจารณาโอกาสต่อไป

อรชุน

Back to top button