“ดาวโจนส์” ปิดบวก 335 จุด รับนลท.เชื่อมั่นเศรษฐกิจ-รอดูนโยบายทรัมป์
“ดาวโจนส์” บวก 335 จุด ท่ามกลางนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ขณะที่นักลงทุนเตรียมจับตานโยบายรัฐบาลชุดใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 ม.ค. 68) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (17 ม.ค.) และปิดตลาดได้อย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,487.83 จุด เพิ่มขึ้น 334.70 จุด หรือ +0.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,996.66 จุด เพิ่มขึ้น 59.32 จุด หรือ +1.00% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,630.20 จุด เพิ่มขึ้น 291.91 จุด หรือ +1.51%
โดยในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 3.69%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.92% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 2.43%
ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ทำสถิติการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์เป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. และดัชนี Nasdaq ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ขณะเดียวกัน นักลงทุนมีความคาดหวังเพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจเพิ่มเวลาและขนาดของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานในวันศุกร์ว่า การก่อสร้างบ้านเดี่ยวในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน แม้ว่าความต้องการอาจถูกจำกัดจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่เพิ่มขึ้นและปริมาณบ้านใหม่ที่มีมากเกินไปก็ตาม
รายงานอีกฉบับเปิดเผยให้เห็นว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนธ.ค.
โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ซึ่งตรงกับวันหยุดของตลาดสหรัฐฯ เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ทั้งนี้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายบางอย่างของทรัมป์ เช่น การเรียกเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งอาจกระตุ้นให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดช้าลงนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นฤดูกาลรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะผลประกอบการจากธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่ง ได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารใน S&P500 ปรับตัวขึ้น 7.41% ในรอบสัปดาห์นี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.013% สู่ระดับ 4.619% แต่ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนที่ 4.809% ซึ่งเข้าทดสอบในช่วงต้นสัปดาห์นี้
เบธ แฮมแมค ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวว่า ปัญหาเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ เนื่องจากข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟดระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เฟดอาจลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นและในระดับที่มากกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง
มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมกำหนดนโยบายปลายเดือนนี้ ขณะที่ข้อมูลจาก LSEG แสดงให้เห็นว่า ตลาดกำลังให้น้ำหนักมากกว่า 50% ต่อความเป็นไปได้ที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ภายในเดือนมิ.ย.
อีกทั้งหุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่เพิ่มขึ้น 1.7% ขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลง
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) พุ่งขึ้น 3.1% และหุ้นบรอดคอม (Broadcom) พุ่งขึ้น 3.5% หลังจากบาร์เคลยส์ (Barclays) ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นทั้งสองตัวนี้ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวขึ้น 2.84%
นอกจากนี้ หุ้นอินเทล (Intel) พุ่งขึ้น 9.25% ท่ามกลางกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการเทกโอเวอร์ ขณะที่หุ้นคอร์โว (Qorvo) พุ่งขึ้น 14.43% หลังจากที่บริษัทสตาร์บอร์ด แวลู (Starboard Value) เปิดเผยว่าได้เข้าถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปดังกล่าว 7.7%
นอกจากนี้หุ้นของบริษัทสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เมตา (Meta) ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก หลังจากที่ศาลฎีกาตัดสินให้ติ๊กต๊อก (TikTok) แพ้คดีในการท้าทายกฎหมายที่จะบังคับให้ขายกิจการหรือแบนแอปพลิเคชันของติ๊กต๊อกในสหรัฐฯ โดยหุ้นของเมตาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.24% ขณะที่หุ้นสแนป (Snap) ลดลง 3.21%