“พิชัย” เร่งเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. เชือดคดีหลักทรัพย์เร็วขึ้น
"พิชัย" รองนายกฯ และรมว.คลัง เผย จะเร่งแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. ลงดาบในคดีความผิดหลักทรัพย์ หวังสร้างความโปร่งใสในตลาดทุน ย้ำตลาดหุ้นขาลงไม่เหมาะออกทุน LTF ส่วนการเลือกประธานบอร์ดธปท. ยังไม่ส่งรายชื่อแต่ "มีคนในใจ" แล้ว ด้านบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ 1,550 จุด พร้อมแนะนำเก็บ 12 หุ้นเด่นน่าลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กำลังเร่งปรับปรุงกฎระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ มีความคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว และเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้จะเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. เข้าไปจัดการได้ทันที ซึ่งจะแตกต่างจากเดิมที่รู้ปัญหาแล้วแต่เข้าไปจัดการไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจ จึงจำเป็นต้องให้อำนาจบางส่วนไว้กับ ก.ล.ต. ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก
“อำนาจเดิมมีปัญหา จะเข้าไปแก้ปัญหาก็เข้าไม่ได้ สุดท้ายนักลงทุนรายย่อยจะเสียเปรียบ เพราะดำเนินการช้า ดังนั้นการทำคดีและการส่งฟ้องนั้น ซึ่งต่อไปอำนาจ ก.ล.ต. จะเหมือนกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนในต่างประเทศที่เขามีอำนาจและเป็นมาตรฐานระดับสากล” นายพิชัย กล่าว
รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวถึงเรื่องการต่ออายุ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Fund) หรือ LTF ว่า กองทุน LTF นักลงทุนจะเน้นเข้าลงทุนแบบ “ปูเสื่อรอ” ซึ่งจะดีหากเข้าลงทุนในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้น และส่งผลดีต่อการประหยัดภาษีด้วย แต่อาจจะไม่เหมาะเข้าลงทุนในช่วงตลาดหุ้นขาลง เพราะนักลงทุนจะติดหล่มระยะยาว ทำให้ต้องตั้งคำถามว่า เป็นจังหวะที่อยากได้หรือไม่
อีกทั้ง กองทุน Thai ESG (TESG) เป็นเทรนด์ของโลก แต่ยังขาดความเด่น ทำให้นักลงทุนยังมองไม่ออกว่า จะเข้าลงทุนตัวไหน จึงเกิดลักษณะการ “พักเงินลงทุน” ไว้ก่อน อย่างไรก็ดี กองทุน LTF ที่บูมได้ ต้องมีบริษัทจดทะเบียนที่จูงใจให้นักลงทุนกล้าเข้าไปลงทุน ทำให้บริษัทจดทะเบียนก็ต้องพิจารณาตนเอง ทำตัวเองให้น่าสนใจ
- ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ “มีคนในใจแล้ว”
นายพิชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการคัดเลือก ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ยอมรับว่า ขณะนี้ได้มองตัวบุคคลที่จะส่งรายชื่อไปยังคณะกรรมการคัดเลือกฯ แล้ว แต่ยังไม่ได้ส่ง
ส่วนเรื่องการคัดเลือก ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ นายพิชัย กล่าวว่า แม้ยังไม่ถึงเวลา แต่ก็มองว่าหากได้คนที่เข้าใจและมีแนวทางส่งเสริมการทำงานตามนโยบายรัฐบาล ก็จะทำงานได้สะดวกมากขึ้น ต้องรู้เศรษฐศาสตร์และการเงินไปพร้อมกัน คิดและมองไปข้างหน้า จะมองแบบเดิม ๆ ไม่ได้ โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงมาก ตลาดเงินเป็นสาระสำคัญตอนนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ถูกท้าทาย รวมทั้งค่าเงินหยวนกำลังจะมา คนคิดจึงต้องมองแบบสมัยใหม่
ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ส่งรายชื่อผู้ที่จะเข้าสู่การพิจารณารับการคัดเลือกเป็นประธานบอร์ดธปท. ให้คณะกรรมการคัดเลือก ส่วนเรื่องการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. ตามกระบวนการ ก่อนหมดวาระต้องมีเวลา 90 วันในการคัดเลือก โดยผู้สนใจสมัครจะต้องดำเนินการเอง หรือ สมัครเอง
- สะพัด 3 ชื่อแคนดิเดต ชิงผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่
มีรายงาน รายชื่อที่คาดว่า จะเป็นแคนดิเดต 3 คน ชิงตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ แทน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประกอบด้วย 1.นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต 2.ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ เคยดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และ 3.ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
- INVX เป้าดัชนี 1,550 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ INVX เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะมีความผันผวน เกิดความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นของเศรษฐกิจและมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุน ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดจะขยายตัวได้มากกว่า 3% จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ที่จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการลงทุน เนื่องจากต้นปีมีการออกมาตรการการบริโภคภายในประเทศผ่าน Easy E-receipt 50,000 บาท ถึงวันที่ 28 ก.พ.68 และมาตรการเงินโอน 10,000 บาท เฟส 2 กลุ่มผู้สูงอายุ
ขณะที่มาตรการด้านการเงินยังมีความจำเป็นแต่ต้องดูความเหมาะสม โดยประเมินว่า ปีนี้มีโอกาสที่จะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง หรือส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของไทยมาอยู่ที่ 1.5% ได้
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังคงแกว่งตัว และยอมรับว่าจะมีอัพไซด์ไม่มาก ซึ่งจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 10% บวกลบ โดยประมาณการดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ที่ 1,550 จุด ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 จะอยู่ในสภาพความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ จึงประเมินกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปีนี้คือ การลงทุนแบบเก็งกำไร ซึ่งจะต่างจากปีที่ผ่านมา ที่เป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นที่ราคาไม่ได้ undervalue เหมือนกับช่วงต้นปี 2567 ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจะเป็นระยะสั้น ลงทุนเป็นรอบ
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน คาดว่า ในปีนี้ ธปท. จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง และจะส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลงจากระดับ 2.25% มาสู่ระดับ 1.5% ขณะที่ค่าเงินบาทปีนี้เฉลี่ยแข็งค่าที่ 35.3 บาทต่อดอลลาร์ และราคาน้ำมันดิบ Brent 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้ ลดลงจากเฉลี่ย 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ย เช่น กลุ่มขนส่ง ค้าปลีก และอาหาร มีแรงส่งจากผลประกอบการโตได้ต่อเนื่องในปีนี้ ส่วนกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี คาดจะพลิกกลับมามีกำไรเพิ่มขึ้นในปีนี้ แต่ความผันผวนยังสูงตามราคาโภคภัณฑ์ ด้านกลุ่ม ICT แม้ผลประกอบการชะลอตัวในปีนี้ แต่ยังเติบโตใกล้เคียงตลาดและมีอัพไซด์จากการควบคุมต้นทุน สำหรับปีนี้ประมาณการกำไรจากการดำเนินงานของตลาด หรือ EPS จะเติบโตประมาณ 10%
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโส ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนของไทยจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการบริโภคการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปียังมีแนวโน้มดี เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะที่สมดุล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดผลจากการชะลอตัวลงของการส่งออกได้ แนะนำการลงทุน หุ้นขนาดใหญ่ เน้นตั้งรับในกลุ่มที่มีสัดส่วนในประเทศสูง 4 ธีม ดังนี้
- ธีม Value เช่น AOT, BBL และ CPALL
- ธีม Dividend เช่น AP, BCP, LHHOTEL
- ธีม Laggard เช่น BCH, GPSC และ HMPRO
- ธีม Mid-small cap growth เช่น AMATA, AU และ INSET
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามในปีนี้ คือ นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจะกระทบทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่มองยังเป็นขาลงเพียงใด นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะรับมือนโยบายการค้าสหรัฐฯ ได้แค่ไหน และจะหนุนการเติบโตจีดีพีได้ตามเป้าหมายหรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามนโยบายการคลังและการเงินของไทย จะสร้างความเชื่อมั่นได้แค่ไหน และผลประกอบการตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ตามคาดหรือไม่
นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ CFA ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy กล่าวว่า การจัดสรรเงินลงทุนในปี 2568 ยังคงแนะนำในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยมีการใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง สิ่งที่นักลงทุนควรติดตาม คือ การเลือกลงทุน เนื่องจากเป็นปีแห่งการเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้นการเติบโตของกำไรตลาดเช่นในปีที่ผ่านมา อาจไม่ได้เห็นในปีนี้
ขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านการเมือง อย่างการมาของทรัมป์ ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาสินทรัพย์นับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้ง เนื่องจากความกังวลด้านนโยบาน Trump 1.0 ว่าจะหวนกลับมาใน Trump 2.0 อีกครั้ง โดยมีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันทั้งเงินเฟ้อและเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ภาพในอดีต อาจไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
จึงแนะนำเลือกการลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงิน และหุ้นขนาดกลาง เล็ก สไตล์คุณค่าของสหรัฐฯ เพื่อรอรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะมาถึง พร้อมเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่อัตราการเติบโตโดดเด่น และได้รับผลกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีต อย่างหุ้นจีนและเวียดนาม ขณะที่ตราสารหนี้นั้น แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอายุไม่เกิน 3-5 ปี เพื่อล็อกผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงในทองคำควบคู่ไปด้วย