โบรกแนะเก็บ “หุ้นปันผลสูง-ท่องเที่ยว-DOMESTIC” รับนโยบาย TRUMP 2.0

โบรกแนะเก็งกลุ่ม หุ้นปันผลสูง-ท่องเที่ยว-DOMESTIC รับนโยบาย “TRUMP 2.0” หากสถานการณ์คลี่คลาย


ทั่วโลกจับตามองการลงนามคำสั่งบริหารของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ซึ่งจะจัดขึ้นในเวลา 12:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเที่ยงคืนของวันนี้ (20 ม.ค.68) ตามเวลาในประเทศไทย ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ

เช่นเดียวกับสื่อต่างประเทศจับตาวันแรกของ “ทรัมป์” ในตำแหน่งประธานาธิบดี จะมีการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน, นโยบายด้านพลังงาน และการดำเนินการของรัฐบาลกลาง เพื่อดำเนินการตามการรณรงค์หาเสียงเขาในหลายสิบประเด็น ตามที่ได้ให้คำมั่นว่า จะออกคำสั่งฝ่ายบริหาร มากกว่า 100 ฉบับ ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เพื่อยกเลิกสิ่งที่รัฐบาลของนายโจ ไบเดน ดำเนินการมา

สำหรับลิสต์ 8 นโยบายทำทันทีของประธานาธิบดี “ทรัมป์” คือ ปิดพรมแดน, เนรเทศหมู่ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ, ยุติการสิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิด, อภัยโทษ “คดี 6 มกราคม”, ยุติสงครามจริง, ขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากร, ยุติบังคับใช้ยานยนต์ไฟฟ้า, ห้าม “ข้ามเพศ” เล่นกีฬาผู้หญิง

ด้วยประเด็นข้างต้น บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า วันจันทร์ที่ 20 ม.ค.68 ช่วงเที่ยงวัน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ จะมีพิธีสาบาน ตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” (ซึ่งต้องติดตามคำสั่งพิเศษอย่างใกล้ชิดในการประกาศนโยบายเร่งด่วน)

โดย “ทรัมป์” เผยกับสำนักข่าว NBC ว่าอาจมีมากกว่า 100 ฉบับ อีกทั้งยังเคยกล่าวเมื่อหลายเดือนก่อนถึงมาตรการที่ตั้งใจทำตั้งแต่วันแรก อาทิ ปิดพรหมแดนสหรัฐฯ-แมกซิโก, เนรเทศผู้อพยพปิดกฎหมายออกนอกสหรัฐฯ, ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน, อภัยโทษ นักโทษคดี 6 ม.ค.68, เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากเม็กซิโกและแคนาดาใน อัตรา 25% เป็นต้น

โดยเริ่มปี 2568 นี้  (1-17 ม.ค. 2567) ตลาดหุ้นเอเชียและไทยลงแรงติดอันดับต้นๆ ของโลก จากความกังวลเริ่มต้นเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 อาทิ ตลาดหุ้นมาเลเซียลงแรงอันดับ 1 ของโลก ลดลง 5.3% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน รองลงมาอันดับ 2 ตลาดหุ้นบาร์เรน ลดลง 4.3% และตลาดหุ้นไทย ลงมาอันดับ 3 ของโลก ลดลง 4.26% ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.74%, และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 2.71%

ถ้าโฟกัสแต่ตลาดหุ้นไทย พบว่า ย่อตัวลงมาหนักๆ ตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. – 17 ม.ค. 67 โดย SET INDEX ปรับตัวลง 8.4% ส่วน SECTOR ที่ลงแรง คือ PAPER ลดลง 28%, PKG ลดลง 27%, PROF ลดลง 26.7%, CONS ลดลง 20.3%, CONMAT ลดลง 19.5% สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจอิงกับการส่งออก

ขณะที่ SECTOR ที่ OUTPERFORM คือ BANK เพิ่มขึ้น 4.2%, ETRON ลดลง 1%, ICT ลดลง 2.1%, PF&REIT ลดลง 3.7%, MEDIA ลดลง 3.9% เป็นต้น สังเกตได้ว่าหุ้นกลุ่มที่ OUTPERFORM จะเป็นหุ้น DOMESTIC (ธุรกิจอิงในประเทศเป็นหลัก) หรือ หุ้นปันผลสูงเป็นหลัก

สรุป ภายใต้มูลค่าซื้อขายเบาบาง หุ้นกลัว TRUMP2.0 ก็มีเม็ดเงินขายออกมา กดดันให้ราคาหุ้นลงมาหนักมากแล้ว คำแนะนำ นักลงทุนติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐอย่างใกล้ชิด ถ้าเห็นความผ่อนคลายลง อาจเห็นหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีการรีบาวด์กลับขึ้นมาได้บ้าง อาทิ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC, บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ถ้ากระแส TRUMP รุนแรงก็น่าจะเห็นเม็ดเงินวนเวียนอยู่ในหุ้น DOMESTIC กับหุ้นปันผลสูงเป็นหลัก อาทิ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF, 3BBIF, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI, บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB, บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR

นอกจากนั้น บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่าตลาดหุ้นทั่วโลกต้องรอดูการเปิดนโยบายเร่งด่วนของประธานาธิบดี Trump หลัง 20 ม.ค.68 ซึ่งจะทำให้ตลาดมีผันผวนทั้งในทางบวกและลบ มีความเสี่ยง แต่ก็จะเป็นโอกาสในการเข้าเก็งกำไรด้วย โดยยังคงลิตส์หุ้น 7 ตัว ไว้เหมือนเดิม ประกอบด้วย บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF , บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL , บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL

Back to top button