CGSI มอง SET “ไซด์เวย์อัพ” แนะเก็งกำไร KKP-GULF

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ประเมิน SET Index แกว่งตัวบวกบริเวณกรอบ 1,340-1,365 จุด หลังตลาดคลายกังวลนโยบายเก็บภาษีทั่วโลก แนะเก็งกำไร 2 หุ้นเด่น KKP-GULF


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ม.ค. 68) ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนี DJIA และ S&P500 ปิดทำนิวไฮในรอบ 1 เดือน นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมใน 3 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 4.2% ขานรับผลประกอบการไตรมาส 4/67 สดใส และ หุ้นขนาดเล็ก Russell2000 เพิ่มขึ้น 1.9% หลังถ้อยแถลงและการดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายทางการค้าในวันแรกของปธน. ทรัมป์ ออกมาอ่อนโยนกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก โดยทรัมป์เตรียมประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเม็กซิโก-แคนาดา 25% มีผลบังคับใช้ 1 ก.พ. (vs. จากเดิม Universal Tariffs ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60-100% และ ประเทศอื่น 0-20% ในช่วงหาเสียง) ส่งผลให้ตลาดคลายกังวลที่ว่านโยบายเก็บภาษีแบบทั่วโลกอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อในสหรัฐสูง บอนด์ยีลด์สหรัฐจึงร่วงลงมาต่ำกว่าระดับ 4.6% ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4%

ด้าน CME FedWatch ชี้ว่าตลาดให้น้ำหนัก 99.5% ที่ Fed จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% ในการประชุมเดือนนี้ (29 ม.ค.) จนถึงเดือนพ.ค. ก่อนปรับลดลง 25bp ในเดือนมิ.ย. และคงไว้ที่ระดับ 4.25% จนถึงสิ้นปี 68 แม้ว่าในรายงาน FOMC จะส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้

ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังมีแรงสนับสนุนจากความคาดหวังว่าจุดยืนของพรรครีพับลิกันและทรัมป์ที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ อาทิ การปรับลดอัตราภาษี หรือ การผ่อนปรนกฎระเบียบ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งล่าสุด แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow จาก Fed สาขาแอตแลนตา แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาส 4/67 ขยายตัว 3.0% จากไตรมาส 1/67  ที่ 1.4% , ไตรมาส 2/67 ที่ 3.0% และไตรมาส 3/67 ที่ 2.8%

อย่างไรก็ตาม การประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานระดับชาติของทรัมป์ เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน ได้ฉุดให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงมากว่า 2.6%

ทั้งนี้คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวปรับตัวบวกต่อได้อีกวัน โดยให้กรอบบริเวณ 1,340-1,365 จุด โดยมีแรงสนับสนุนจากเงินบาทที่แข็งค่าตามดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง หลังทรัมป์ยังไม่มีการพูดถึงการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน และ ผลประกอบการ ไตรมาส 4/67 กลุ่มธนาคารที่ออกมาสดใส

อีกทั้งธนาคารที่ฝ่ายวิเคราะห์ทำการศึกษา รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่ง KKP และ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มีกำไรสุทธิสูงกว่าคาดจากต้นทุนสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ต่ำกว่าคาดและรายได้ค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีการลดลงของอัตราส่วน NPL จากการปรับสถานะหนี้จาก Stage 3 ไปยัง Stage 2 ส่วน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มียอดหนี้ใน Stage 2 เพิ่มขึ้นจากลูกหนี้ที่มากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารที่เราทำการศึกษาส่วนใหญ่มีการเติบโตของสินเชื่อแบบเร่งตัวขึ้น เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, KBANK, BBL เป็นกลุ่มธนาคารที่มีการเติบโตสินเชื่อในระดับสูง ด้าน NIM ลดลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าธนาคารจะประกาศการเติบโตของสินเชื่อในปี 68 ที่ 0-3% โดยธนาคารส่วนใหญ่กล่าวในที่ประชุมถึงเน้นถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการลดต้นทุนสำรองหนี้สงสัยจะสูญ พร้อมคาดว่าการเติบโตของรายได้จะมาจากค่าธรรมเนียมในธุรกิจ wealth management นอกจากนี้ ธนาคารไม่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโครงการบรรเทาหนี้มากนัก และเรายังคงมุมมอง Neutral สำหรับกลุ่มธนาคารไทย

สำหรับหุ้นแนะนำ ได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 4/67 ออกมาสดใส โดยมีกำไรสุทธิที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 เท่า เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่สูง ขณะที่อัตราส่วน NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากฐานสินเชื่อที่ลดลง โดยเฉพาะจากธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ (Take profit ที่ 53.50 บาท ส่วนจุด Stop loss ที่ 51.50 บาท )

อีกทั้ง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำการ Trading ในหุ้นอย่าง GULF ที่ประกาศควบรวมกิจการจัดตั้งเป็น New Co เตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนใน Data Center ด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Singtel และความพร้อมทางด้านสื่อสารและสาธารณูปโภค (Take profit ที่ 60.25 บาท ส่วนจุด Stop loss ที่ 58.75 บาท )

Back to top button