KKPS ชี้ ROE “ภาคสื่อ-บันเทิง” เร่งฟื้นตัว! แนะเก็บ MAJOR-PLANB
KKPS วิเคราะห์ ROE กลุ่มสื่อ-บันเทิงปี 68 ฟื้นตัวจากโควิด-19 แต่ต่ำกว่าก่อนหน้า แต่แนะนำซื้อ MAJOR-PLANB เติบโตจากการบริหารทุน และเพิ่มอัตราผลตอบแทนเด่น ฝั่ง ONEE ยังไม่พบปัจจัยบวก แต่แนะนำ “ถือ” ราคาเป้า 3.90 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุในบทวิเคราะห์จากรายงานของนักกลยุทธ์เกี่ยวกับการลดลงของ อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ในประเทศไทย บริษัทจึงทำการวิเคราะห์ ROE ในภาคสื่อและบันเทิง ซึ่งผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าแม้ ROE จะฟื้นตัวจากระดับช่วงโควิด-19 แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชี (P/B) ของกลุ่มนี้ถูกลดระดับลง
ทั้งนี้ การบริหารเงินทุนอาจทำให้ ROE ปรับขึ้นได้ ขณะที่ การเปลี่ยนแปลงในรายได้และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีกดดันให้ ROE ลดลง ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้กลับมาอยู่ในระดับเดิม อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น อาทิ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR, บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE และ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB เนื่องจากมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงที่สามารถจัดสรรเงินทุนได้
ส่วนคำถามสำคัญ คือ บริษัทเหล่านี้สามารถเพิ่มหนี้เพื่อสนับสนุนการจัดสรรเงินทุนได้มากเพียงใด โดยไม่ให้เสียวินัยทางการเงิน รายงานชี้ให้เห็นว่ายังมีพื้นที่สำหรับการยกระดับของ ROE ภาคส่วนนี้ให้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับระดับ P/B ใหม่และอาจต้องลงในรายละเอียดถึงผู้บริหารว่าจะมีความเต็มใจในดำเนินการบริหารทุนหรือไม่
โดยในขณะนี้ ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังไม่ได้นำการบริหารทุนเข้าสู่การประมาณการ และรวมในราคาเป้าหมาย แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ MAJOR คาดการณ์ว่ามีรายได้สูงขึ้นจาก ภาพยนตร์ Hollywood ในปี 2568 และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ PLANB จากการเติบโตของกำไรที่ดีในปี 2568 ส่วน ONEE ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ถือ” เนื่องจากยังไม่เห็นถึงปัจจัยเชิงบวกที่จะสามารถกระตุ้นราคาหุ้นได้
ขณะที่หากพูดถึง ROE ของ PLANB ลดลงเหลือ 11% ในปี 2566-2567 จาก 14%-16% ในช่วงปี 2560-2561 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนรายได้ โดย PLANB มีสถานะเงินสดสุทธิเป็นบวก ทำให้สามารถเพิ่มอัตราการจ่ายผลตอบแทนจาก 48% ในปี 2567 เป็น 100% ได้ และยังคงสถานะเงินสดสุทธิไว้ได้อยู่
ขณะที่ ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าการบริหารทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่ม ROE ในปี 2573 ขึ้นเป็น 17% ซึ่งเท่ากับระดับในปี 2560-2561 และจะนำไปสู่การปรับเพิ่ม P/B ได้ ซึ่งจากเดิมเคยอยู่ที่ 6 เท่า ในปี 2560-2561 ก่อนจะลดลงเหลือ 3 เท่า ในปัจจุบัน โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9 บาท
ส่วน ROE ของ MAJOR ลดลงจาก 20% ในปี 2562 เหลือ 10% ในปัจจุบัน เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้บริการในโรงหนังที่ลดลง ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืน 2 รอบในปี 2566 และ 2568 โดยการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติมจะลดปริมาณการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือ Free Float โดย MAJOR ใช้เงินไปถึง 1 พันล้านบาท ต่อการทำการซื้อหุ้นคือแต่ละรอบ อย่างไรก็ตามอัตราหนี้สินสุทธิต่อกำไรสุทธิ (EBITDA) ยังอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งอยู่ที่ 6 เท่า
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์มุ่งเน้นไปที่อัตราการจ่ายปันผลตอบแทน โดยตั้งสมมุติฐานว่า MAJOR เพิ่มอัตราการจ่ายผลตอบแทนระหว่างปี 2568-2573 อยู่ที่ 140% จาก 55% ในปี 2566 โดย ROE ในปี 2573 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 17% ส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA จะเพิ่มเป็น 1 เท่า จาก 0.6 เท่า ในปัจจุบัน ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท
ส่วน ROE ของ ONEE ลดลงจาก 18% ในปี 2564 หลังจากการทำ IPO เหลือ 7% ณ ปัจจุบัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนรายได้ โดยฝ่ายวิเคราะห์ตั้งสมมุติฐานว่าหาก ONEE เพิ่มอัตราการจ่ายผลตอบแทนจาก 90% เป็น 200% นั้น ROE ปี 2573 จะปรับขึ้นเป็น 10% โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่า ONEE จะยังคงสามารถรักษาสถานะเงินสดสุทธิได้แม้จะมีการจ่ายผลตอบแทนในปีนี้ โดยแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 3.90 บาท