“Financial Hub” ปั้นเศรษฐกิจไทยสู่ “Wall Street” ของอาเซียน
"Financial Hub" ปั้นเศรษฐกิจไทยสู่ “Wall Street” ของอาเซียน เปิด 8 ธุรกิจเป้าหมายหวังดึงสถาบันการเงินระดับโลกเข้ามาลงทุน
เมื่อปี 2567 รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ที่มุ่งเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็น “ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ “Financial Hub” ที่จะมีบทบาทสำคัญในเวทีเศรษฐกิจโลก ด้วยเป้าหมายในการดึงสถาบันการเงินระดับโลกเข้ามาลงทุน และสร้างย่านการเงินที่เปรียบเสมือน Wall Street แห่งอาเซียนในประเทศไทย
- การพัฒนาร่างกฎหมาย “Financial Hub”
กระทรวงการคลัง ได้พัฒนาร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. หรือ ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่าจะได้รับการพิจารณาภายในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะจัดตั้ง ศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความสำคัญให้กับประเทศไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก โดย Financial Hub ของไทยตั้งเป้าดึงดูดธุรกิจ 8 ประเภทหลัก ได้แก่
- ธุรกิจธนาคารพาณิชย์
- ธุรกิจบริการการชำระเงิน
- ธุรกิจหลักทรัพย์
- ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
- ธุรกิจประกันภัย
- ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ
- ธุรกิจทางการเงินอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
- สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ
ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ Financial Hub จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางด้านภาษีและมิใช่ภาษีที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับสากล ซึ่งรัฐบาลได้จัดตั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน หรือ One Stop Authority (OSA) ที่จะทำหน้าที่ให้บริการภาครัฐแบบครบวงจร สนับสนุนการดำเนินงานของ Financial Hub
- เหตุผลเบื้องหลังนโยบาย Financial Hub
รัฐบาลมองว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่พัฒนามากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค การพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการเงินจึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศจะดึงดูดธุรกิจทางการเงินจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและการพัฒนาทักษะในประเทศ
แผนการพัฒนา Financial Hub นี้เป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีเศรษฐกิจโลก และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศในอนาคต
- “เอเชีย พลัส” มอง Financial Hub ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย
ในมุมมองของ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าหากเกิดขึ้นจริงและมีประสิทธิภาพ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยหลายด้าน ได้แก่ ดึงดูดธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทย, ทำให้แรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น และเกิดการพัฒนาธุรกิจทางการเงินในไทย
สำหรับหุ้นที่แนะนำ คือ หุ้นกลุ่มนิคม หุ้นลงทุนเทคฯ AMATA, WHA, AIT, INSET หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและออฟฟิศ CENTEL, MINT, ERW, AWC หุ้นกลุ่มการเงิน KTB, BBL, KBANK, TISCO และ หุ้นอุปโภค-บริโภค CPALL, DOHOME, BJC, CBG, MTC, SAWAD