พาราสาวะถี

พบปะแลกเปลี่ยน ประเมินกันอยู่ตลอดเวลาสำหรับบรรดาแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาล โดยมี ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีตัวจริงเสียงจริงนั่งหัวโต๊ะ


พบปะแลกเปลี่ยน ประเมินกันอยู่ตลอดเวลาสำหรับบรรดาแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาล โดยมี ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีตัวจริงเสียงจริงนั่งหัวโต๊ะ ปมปัญหาไม่ว่าจะที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่เป็นเหมือนแรงกระแทกมาจากภูมิใจไทยเข้าใส่กล่องดวงใจของเพื่อไทย ท่าทีของผู้อาวุโสในพรรคประชาธิปัตย์ต่อร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาจทำให้เห็นรอยปริแยกของรัฐบาลผสม และหนีไม่พ้นถูกโยงไปถึงเสถียรภาพว่ายังมั่นคงอยู่หรือไม่

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องของการให้แต่ละพรรคได้แสดงความเป็นตัวตน ยืนอยู่บนพื้นฐานที่ว่าตัดสินใจหรือเคลื่อนไหวกันแบบไหน ต้องไม่ให้มีผลกระทบต่อรัฐบาล เหมือนกรณีคำสั่งยึดที่ดินอัลไพน์ให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ ถามว่าเป็นความเสียหายของทักษิณในฐานะผู้ครอบครองหรือไม่ ดีเสียด้วยซ้ำ เรื่องที่คาราคาซังมานานกว่า 20 ปี จะได้มีข้อยุติว่ากันด้วยข้อกฎหมาย สุดท้ายจะจบลงแบบไหนยังไม่มีใครคาดเดาได้ เพราะทุกอย่างสามารถพลิกแพลงได้จนกว่าจะถึงที่สุด

ขณะที่เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เมื่อยังอยู่ในกระบวนการทุกฝ่ายย่อมสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ท้ายที่สุด หากต้องตัดสินใจในแง่ของการยกมือหนุนหรือค้านร่างกฎหมาย ถามว่าคนตัดสินใจคือผู้ที่ออกมาตำหนิ เรียกร้องให้ทำโน่นทำนี่ หรือหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคที่มีอำนาจตามกฎหมาย มติการนำพรรคเก่าแก่เข้าร่วมรัฐบาลมีให้เห็นมาแล้ว ดังนั้น ทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับอนาคตของรัฐบาลไม่มีทางที่นายใหญ่จะปล่อยให้ลูกสาวได้ตัดสินใจเพียงลำพัง

จะเห็นได้ว่าทุกเวที ทักษิณจะใช้เป็นโอกาสในการโชว์วิสัยทัศน์ ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร จะทำ เป็นการกระตุ้น โน้มน้าวให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อฝ่ายบริหาร สามารถฝากความหวัง และมองไปเห็นอนาคตได้ ขอเพียงได้มีเวลาทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้นายใหญ่จึงยอมที่จะเป็นเป้าถูกโจมตีไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม เพราะจากวงวิเคราะห์ทั้งในส่วนของแกนนำพรรคเพื่อไทยกับนายใหญ่ และการหารือระหว่างนายใหญ่กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เห็นตรงกัน ฝ่ายต่อต้านมีใคร กลุ่มไหนบ้าง

ไม่ว่าจะขยับกันในรูปแบบใด ล้วนแต่เป็นกลวิธีแบบแยกกันทำงาน ต้นทางต่างก็รู้ว่าคนเบื้องหลังคือใคร ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ที่รับกันแบบเนื้อ ๆ เท่านั้น ยังมีการเดินเกมเจรจาต่อรองอุตลุด จึงเป็นจุดวัดใจของพวกที่ปากมันทั้งหลาย เมื่อได้รับคำตอบจนเป็นที่พอใจแล้ว ทุกอย่างก็จะกลับเข้าอีหรอบเดิมคือ เคลื่อนไหว เคาะกะลา ได้ตามที่ต้องการแล้วก็เงียบ รอเวลามีปมใหม่สามารถนำมาหากินได้ค่อยออกกันมาใหม่ ไม่ต้องถามดึงหลักการ อุดมการณ์อะไรทั้งนั้น

ส่วนที่ใครมองว่าทำไมดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลกลับมาคึกคักกันอีกกระทอก หลังจากที่หายหน้าหายตากันไปพักใหญ่ ต้องไม่ลืมว่า พอมีเรื่องของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เข้ามา โดยรัฐบาลประกาศเดินหน้าเต็มที่ ย่อมมีพวกที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ถือเป็นช่องทางทำมาหากินของพวกนักร้อง เหล่านักเคลื่อนไหวทั้งหลาย แต่คนพวกนี้เขี้ยวลากดินไม่ใช่ว่าจะควักจ่ายกันแบบง่าย ๆ ภาพที่เห็นจึงเป็นการเปิดหัวดูทิศทางลมก่อน ถ้าเห็นว่าน่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับฝ่ายกุมอำนาจได้ เดี๋ยวค่อยมาตกลงเรื่องเงื่อนไข และเบี้ยดูแลที่จะจ่ายกันอีกที

เกมแบบนี้มีหรือคนอย่างทักษิณจะอ่านไม่ออก รู้กันอยู่แล้วว่าไผเป็นไผ ที่ทางฝ่ายพรรคแกนนำรัฐบาลกำลังสแกนอยู่ตอนนี้คือ มีคนของพรรคร่วมพรรคไหนไปผสมโรงหรือถือหางด้วยหรือไม่ เบื้องต้นยังไม่มีรายงานว่าเป็นแบบนั้น มีบ้างสำหรับบางคนที่ถือเป็นการพูดคุย พบปะกันในฐานะมิตรสหายไม่เกี่ยวข้องกับพรรคต้นสังกัด เมื่อโจทย์ร่วมคือก้าวข้ามความขัดแย้ง สู่เป้าหมายกลับมาจับมือกันใหม่หลังเลือกตั้งครั้งหน้า คงไม่มีใครบ้าที่จะฮาราคีรีตัวเอง

ความนิยมของฝ่ายรัฐบาลดีขนาดไหน คงต้องรอผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้เป็นตัวชี้วัด เพราะเพื่อไทยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการได้ทักษิณมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงจะสามารถปลุกพลังสนับสนุนให้กลับคืนมาได้เหมือนในอดีต หากเป็นไปตามคาด มันย่อมทำให้มองไปถึงผลการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ ขณะที่พรรคอันดับรองในซีกรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย หลายพื้นที่ต้องชนกับคนของนายใหญ่แต่ก็สู้ยิบตา ไม่ให้เสียยี่ห้อพรรคสีน้ำเงิน

ความสำเร็จจากที่เคยใช้ อสม.เป็นกระบอกเสียงเรียกคะแนนนิยมในยุครัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ พอมากุมบังเหียนกระทรวงมหาดไทย ก็พยายามจะใช้เครือข่ายของฝ่ายปกครองที่มี ลงหลักปักฐานกันเหนียวแน่นในทุกพื้นที่ แต่พอนายใหญ่กลับมาลุยเองแบบเต็มตัวได้สร้างความระส่ำระสายให้กับแวดวงหัวคะแนน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน แต่งานนี้มีการออกตัวกันมาแต่เนิ่น ๆ สู้กันตามวิถีทางการเมืองที่ควรจะเป็น ไม่ว่าใครแพ้หรือชนะ อย่างน้อยต้องไม่ให้คนของพรรคสีส้มกำชัย

จะว่าไปในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่มีหัวโขนเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ไม่คิดว่าจะมีการพูดถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้วยการกล่าวหาแพทองธารแบบนักการเมืองโบราณ ว่าหนีไปสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่เมืองนอก ทั้งที่เป็นการไปปฏิบัติภารกิจเพื่อบ้านเมืองในฐานะผู้นำประเทศ เล่นเกมสาดโคลนแบบนี้ระวังคนจะเข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นพรรคประชาชน หรือประชาอีกพรรคที่ชอบเอาดีเข้าตัวโยนชั่วให้คนอื่น โดยไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ

การเดินเกมการเมืองแบบนี้ มีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า ทำไมบางพรรคถึงต้องไปนั่งเป็นฝ่ายค้านดักดานอยู่เกือบ 20 ปี น่าคิดตามอย่างที่ ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เตือนสติผู้นำฝ่ายค้าน การเมืองใหม่สาละวนแต่ตำหนิ ดีแต่พูด ฝุ่นก็ไม่ลด เลิกมองทุกทางออกมีปัญหา ควรเปลี่ยนทัศนคติให้สร้างสรรค์เหมือนที่แพทองธารว่า เห็นทุกปัญหามีทางออก หรือจะเชื่อตามที่ทักษิณเย้ย พูดเก่ง ด่าเก่ง ทำเป็นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ดูอนาคตยังไงก็ไม่มีโอกาสได้ทำ

อรชุน

Back to top button