5 หุ้นแบงก์วิ่ง! โบรกชี้พื้นฐานแกร่ง ชู KTB-KBANK ปี 68 ปันผลเด่น
5 หุ้นแบงก์วิ่ง! BBL-KBANK-SCB-TISCO-CREDIT โบรกแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) พื้นฐานแกร่ง มองธนาคารบางแห่งจะปรับขึ้นอัตราการจ่ายเงินปันผลเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมทั้งเพิ่ม ROE ชู KTB-KBANK น่าจะจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นในปี 68
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ม.ค.68) ณ เวลา 15:32 น. ราคาหุ้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL อยู่ที่ระดับ 155.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 0.97% สูงสุดที่ระดับ 155.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 154.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 402.59 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK อยู่ที่ระดับ 161.00 บาท บวก 2.00 บาท หรือ 1.26% สูงสุดที่ระดับ 161.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 159.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,190.49 ล้านบาท
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB อยู่ที่ระดับ 125.00 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 0.81% สูงสุดที่ระดับ 126.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 124.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 479.03 ล้านบาท
บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO อยู่ที่ระดับ 99.00 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.25% สูงสุดที่ระดับ 99.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 98.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 334.20 ล้านบาท
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT อยู่ที่ระดับ 20.00 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.50% สูงสุดที่ระดับ 20.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 19.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 0.31 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ธนาคาร 8 แห่งที่ศึกษา ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO และธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ทำกำไรสุทธิรวม 5.25 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้น 20.90% จากปีก่อน แต่ลดลง 6.10% จากไตรมาสก่อนหน้า และทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 67 เพิ่มเป็น 2.18 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.60% จากปีก่อน
ส่วนกำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) ไตรมาส 4/67 เติบโต 2.7% จากปีก่อน แต่ลดลง 5.70% จากไตรมาสก่อน ทำให้ PPOP ทั้งปี 67 เติบโต 2.2% จากปีก่อน โดยกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของกลุ่มธนาคารสูงกว่าประมาณการของ Bloomberg consensus เนื่องจากอัตราการสำรองหนี้สูญลดลงและอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงขึ้น โดยยอดสินเชื่อรวมของกลุ่มขยายตัว 0.3% จากปีก่อน และ 1.80% จากไตรมาสก่อนในไตรมาส 4/67 และมีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลง 0.18% จากไตรมาสก่อน เป็น 3.61% และมีอัตราการสำรองหนี้สูญลดลง 0.09% จากไตรมาสก่อน เป็น 1.41%
ด้านฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ธนาคารบางแห่งออกมาเปิดเผยเป้าหมายทางการเงินในปี 68 หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/67 โดยตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัวเพียง 0-3% เนื่องจากธนาคารมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อธุรกิจสินเชื่อและให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างหนี้ โดยพบว่าธนาคารยังกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อรายย่อย
อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ “คุณสู้ เราช่วย” ยังมีอัตราการอนุมัติต่ำ ทั้งนี้ธปท. เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 68 ว่า ลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการเพียง 10% ที่ได้รับอนุมัติ ส่วนระยะเวลาการลงทะเบียนจะสิ้นสุดลงวันที่ 28 ก.พ. 68
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ประมาณการว่าธนาคารทั้ง 8 แห่งที่ศึกษา จะมียอดสินเชื่อรวมเติบโต 1.1-2.7% ในปี 68-70 ขณะที่มีอัตราการสำรองหนี้สูญ 1.35%/1.26%/1.25% และอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิโดยรวมอยู่ที่ 3.7%/4.3%/4.5% ในปี 68/69/70 ตามลำดับ
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ธนาคารไทยอยู่ภายใต้แรงกดดัน เพราะต้องบริหารจัดการเงินทุนจำนวนมาก ในขณะที่สินเชื่อมีอัตราการเติบโตชะลอตัว โดยธนาคารบางแห่ง เช่น ธนาคารทหารไทยธนชาต กำลังพิจารณา เรื่องการซื้อหุ้นคืนตามข้อเสนอของรัฐบาล ขณะที่ธนาคารบางแห่งจะปรับขึ้นอัตราการจ่ายเงินปันผลเพื่อเพิ่ม ผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมทั้งเพิ่ม ROE ทั้งนี้ KTB และ KBANK น่าจะจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นในปี 68 นี้
โดยยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่า PPOP จะเติบโตลดลงในอัตราในปี 68 ลดลง1.4% และในปี 69 เพิ่มขึ้น 0.8% ถัดมาในปี 70 เพิ่มขึ้น 3.5%
ขณะที่เลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick เพราะเชื่อว่าธนาคารทั้งสองแห่งจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 5.4-9.2% ต่อปี และมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ 2-12% ในปี 68-70 นอกจากนี้ เชื่อว่าทั้ง SCB และ KTB จะบริหารจัดการเงินทุนได้ดีกว่าธนาคารอื่นที่ทำการศึกษา ซึ่งจะส่งผลให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นในปี 68-70
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค, ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลง และรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ