พาราสาวะถี
ประกาศเป็นหมุดหมายไว้ว่าภายในปีนี้ปัญหายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องจบ ถือเป็นการท้ารบของ แพทองธาร ชินวัตร
ประกาศเป็นหมุดหมายไว้ว่าภายในปีนี้ปัญหายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องจบ ถือเป็นการท้ารบของ แพทองธาร ชินวัตร ตามคำที่ผู้เป็นพ่อทักษิณเคยบอกไว้ก่อนหน้า เรื่องร้อนเหล่านี้นายกรัฐมนตรีหญิงจะนั่งหัวโต๊ะบัญชาการเอง ก่อนการประชุม ครม.วันอังคารที่ผ่านมา ได้เห็นแอ็กชันของอุ๊งอิ๊งเรียก ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมผู้เกี่ยวข้องมาหารือที่ทำเนียบฯ
เป็นการถกเพื่อเตรียมการมอบนโยบายเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” พูดคุยถึงรูปแบบ ตัวชี้วัด และตั้งเป้าหมายที่ต้องมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ส. ทหาร ตำรวจ ต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน รวมไปถึงการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมกับประชาชนในพื้นที่ ถือเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล ในการจะปราบปรามยาเสพติดให้หมดไป วิธีการอาจต่างจากยุคทักษิณที่ทำสงครามยาเสพติด แต่ปลายทางเหมือนกันคือทุกอย่างต้องจบ ไม่ว่าจะเป็นพวกลักลอบขนข้ามแดน ผู้ค้า และผู้เสพ
ขณะที่การแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถ้าจับสัญญาณจากนายใหญ่ที่ไปพูดบนเวทีปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียงแทบทุกแห่ง จะมีการปูดข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของเหล่ามิจฉาชีพเหล่านี้ ล็อกเป้าหมายได้ แต่การจัดการต้องอาศัยความร่วมมือจากเพื่อนบ้าน ฝั่งกัมพูชาไม่มีปัญหา ที่แก้ลำบากคือฟากเมียนมา ด้วยเหตุผลรัฐบาลทหารไม่มีปัญญาเข้าไปจัดการ เพราะสถานที่ตั้งอยู่ในเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ดังนั้น จึงต้องอาศัยบารมีพี่เบิ้มของโลกตะวันออกอย่างจีนเข้ามาช่วย
ต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ แพทองธารจะบินไปเยือนแดนมังกร ได้พบปะพูดคุยกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะเป็นประเด็นที่หยิบยกมาหารือ ซึ่งรัฐมนตรีความมั่นคงของจีนได้มาคุยกับไทยแล้วต่อเรื่องดังกล่าว นั่นหมายความว่า ถ้าจะขยับทำเรื่องใหญ่ต้องอาศัยบารมีของประเทศที่เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมานานครึ่งศตวรรษ ลำพังการขอความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านเพียงอย่างเดียว คงจะทำให้การปราบปรามสำเร็จได้ยาก
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยทำให้การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ผล คงเป็นเรื่องกฎหมาย ล่าสุด ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เสนอแก้ไขพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ พ.ร.ก.ไซเบอร์ โดยมีเหตุผลความเร่งด่วน เนื่องจากมีข้อมูลว่าประชาชนยังคงได้รับความเสียหายเฉลี่ย 60–70 ล้านบาทต่อวัน รัฐบาลต้องหามาตรการในการดำเนินการแก้ปัญหานี้
สาระสำคัญของกฎหมายที่แก้ไขก็คือ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.ฉบับเดิมที่บังคับใช้เมื่อปี 2566 เพิ่มอำนาจการดำเนินการกับแพลตฟอร์มธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลผ่านระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ P2P ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด เพิ่มหน้าที่ให้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ หรือ Telco provider ต้องระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด เพิ่มหน้าที่การส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้าของธนาคารต่าง ๆ ไปยัง ปปง.เพื่อตรวจสอบและคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้รวดเร็วมากขึ้น
พร้อมเพิ่มบทลงโทษแพลตฟอร์ม P2P รวมถึงธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของคนร้าย เพิ่มบทลงโทษผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และเพิ่มบทลงโทษให้สถาบันทางการเงิน เครือข่ายมือถือ สื่อสังคมออนไลน์ มีส่วนรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ครม.เห็นชอบ และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจะมีผลบังคับใช้ทันที ทางเลขาธิการกฤษฎีการะบุว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน คาดว่าจะสามารถประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
เรียกได้ว่ารวดเร็วทันใจ ส่วนความมั่นใจว่าจะสามารถกำราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้หรือไม่นั้น จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรืออาชญากรรมไซเบอร์ในรูปแบบต่าง ๆ ประกอบกัน เนื่องจากกฎหมายนี้เป็นหนึ่งในมาตรการดำเนินการ อีกทั้งยังมีมาตรการอื่น เช่น การทำงานร่วมกับต่างประเทศในการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีฐานที่ตั้งบริเวณชายแดน ถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
สัญญาณบวกอีกด้านหนึ่งคือ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลครั้งล่าสุด ได้นำเสนอเรื่องนี้เป็นรายงานในที่ประชุม ทุกประเทศต่างเห็นพ้องในการยกระดับร่วมกัน และถือว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงในโซเชียล เป็นภัยที่ทุกประเทศต้องตระหนัก จึงจะยกระดับการทำงานร่วมกันให้ใกล้ชิด และมีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มข้นร่วมกัน คงต้องไปดูในภาคปฏิบัติว่าจะสามารถจัดการได้จริงหรือไม่ ประกาศกันมาขนาดนี้ทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคแกนนำรัฐบาล จึงไม่น่าจะเป็นเพียงแค่ลมปาก
การขับเคี่ยวกันในสนามเลือกตั้งนายก อบจ.ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ถูกจับตามองว่าจะสะเทือนไปถึงความสัมพันธ์ภายในรัฐบาลหรือไม่ แค่หลังประชุม ครม.รอบล่าสุด อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ได้ร่วมวงแถลงกับแพทองธารเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ก็กลายเป็นประเด็นว่าน่าจะเกิดอาการตะขิดตะขวงใจกันแล้ว แต่งานนี้เสี่ยหนูรีบออกตัวเสียงไม่มีจึงไม่ได้ร่วมเฟรมกับนายกฯ ตรงกับที่แพทองธารบอกนักข่าวว่า มท.1ไม่สบาย บอกไว้แล้วว่า ระหว่างพรรคการเมืองกับฝ่ายบริหารนั้นแยกกันชัดเจน
แม้ว่าอาหนูกับหลานอุ๊งอิ๊งจะมีหัวโขนความเป็นหัวหน้าพรรค นั่นเป็นไปตามกติกาทางการเมือง แสดงถึงอำนาจ บารมีที่จะดูแลนักเลือกตั้งในสังกัด แต่การทำงานภายใต้รัฐบาลต้องมองข้ามความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของบรรดานักเลือกตั้งที่เป็นลูกพรรค ส่วนการปราศรัยที่ฝ่ายหนึ่งนายใหญ่นำทัพมีการพาดพิงมาถึงบ้างถือเป็นสีสัน เพราะกุนซือค่ายสีน้ำเงินเองก็เข้าใจถึงบริบทของกลอนพาไปได้เป็นอย่างดี สรุปว่า ดูเหมือนจะมีปัญหาแต่ไร้ปัญหา เพราะผลประโยชน์ภาพใหญ่ลงตัว สนามท้องถิ่นถือว่าเป็นการขอกันกิน
อรชุน