DeepSeek สะท้านโลก.!?
การแจ้งเกิดของ DeepSeek สตาร์ทอัพ AI สัญชาติจีน สร้างความสั่นสะเทือนวงการยักษ์เทคระดับโลกของสหรัฐฯ จนทำให้วันเดียว หุ้น NVDIA รูดหนักกว่า 17%
การแจ้งเกิดของ DeepSeek สตาร์ทอัพ AI สัญชาติจีน สร้างความสั่นสะเทือนวงการยักษ์เทคระดับโลกของสหรัฐฯ จนทำให้วันเดียว (27 ม.ค. 2568) หุ้น NVDIA ยักษ์เทคโลกสัญชาติสหรัฐฯ รูดหนักกว่า 17% มาร์เก็ตแคปหายไปกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20 ล้านล้านบาท) ถือเป็นการปรับลดลงวันเดียวครั้งใหญ่สุดเพียงบริษัทแห่งเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ความสำเร็จของ DeepSeek ลดทอนความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่างบประมาณที่มากขึ้นและชิปที่มีสมรรถนะระดับสูงสุด ถือเป็นหนทางเดียวที่จะพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั่นจึงสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับความต้องการและอนาคตของชิปประสิทธิภาพสูงอย่างมีนัยสำคัญ..!!
สำหรับ DeepSeek เป็นบริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) สัญชาติจีน ก่อตั้งขึ้นที่หางโจว เมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เปิดตัวครั้งแรกช่วงเดือนก.ค. 2566 ริเริ่มขึ้นโดย Liang Wenfeng ที่มีการระดมทุนเพื่อการพัฒนา DeepSeek บางส่วนมาจากเงินกองทุนป้องกันความเสี่ยง (hedge fund) แห่งหนึ่ง
โดยเส้นทางของ DeepSeek เริ่มต้นด้วยการเปิดตัว DeepSeek Coder ช่วงเดือนพ.ย. 2566 ถือเป็นโมเดล Open-Source ที่ออกแบบมาสำหรับงานเขียนโค้ดโดยเฉพาะ ช่วงปีเดียวกันได้เปิดตัว DeepSeek LLM โมเดลที่มีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่อื่น ๆ
ช่วงเดือนพ.ค. 2567 มีการเปิดตัว DeepSeek-V2 ถือว่าได้รับความสนใจอย่างมาก จากประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำและจุดชนวนให้เกิดสงครามราคาในตลาดโมเดล AI ของจีน บีบให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน เช่น ByteDance, Tencent, Baidu และ Alibaba ลดราคาของโมเดล AI เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
จากนั้นมีการพัฒนาต่อไปเป็น DeepSeek-Coder-V2 ถือเป็นโมเดลที่ก้าวหน้าขึ้นออกแบบมาสำหรับการแก้ปัญหาการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน จนโมเดลล่าสุดคือ DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1 ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ DeepSeek ในฐานะผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงวงการ AI ถือเป็นโมเดลที่มีศักยภาพน่าประทับใจด้านการทดสอบประสิทธิภาพต่าง ๆ โดยใช้ทรัพยากรน้อยกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ ส่วน DeepSeek-R1 เน้นด้านงานที่เกี่ยวข้องกับการให้เหตุผล (Reasoning Tasks)
ล่าสุด DeepSeek ขึ้นแท่นเป็นแอปพลิเคชันฟรี ที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในสหรัฐฯ บน iOS แซงหน้า ChatGPT อีกด้วย โดย DeepSeek อ้างว่าโมเดลที่ออกแบบมา มีต้นทุนการพัฒนาต่ำกว่าโมเดลเจ้าอื่น ด้วยมีต้นทุนประมาณ 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากเทียบเจ้าอื่นที่ใช้หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้นทุนของ DeepSeek จึงต่ำมาก
ที่สำคัญ DeepSeek มีข้อได้เปรียบตรงที่มีงานวิจัยเป็นของตัวเอง และมี Open-Source อย่าง PyTorch และ Llama จาก Meta อีกด้วย
จากปรากฏการณ์ DeepSeek สะท้านโลกครั้งนี้ ทำให้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยอมรับว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ถือเป็นเรื่องดีที่บริษัทจีนสามารถคิดค้นวิธีสร้าง AI ที่มีราคาถูกกว่าแต่กลับประมวลผลได้เร็วกว่า และนั่นเป็นสัญญาณเตือน (wakeup call) ให้บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ เกิดความตื่นตัว…
“การเปิดตัวชิป AI ของ DeepSeek ควรเป็นสัญญาณเตือนให้อุตสาหกรรมสหรัฐฯ ต้องมุ่งแข่งขันเพื่อชัยชนะได้”
นี่จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่ ที่ท้าทายบรรดายักษ์เทคโลกสัญชาติสหรัฐฯ อย่างยิ่ง ส่วนจะมีแผนต่อกรหรือรับมือกับกระแส “AI จีนฟีเวอร์” นี้ได้อย่างไร..น่าสนใจจริง ๆ
เล็กเซียวหงส์