โบรกมองบวก “หุ้นรับเหมา” รับแผนสร้างรันเวย์ “อู่ตะเภา” ก.พ.นี้

“บล.กสิกรไทย” มองบวกหุ้นกลุ่มรับเหมา รับแผนการสร้างเริ่มก่อสร้างรันเวย์ได้ในช่วงเดือน ก.พ.68 ชู 2 หุ้นเด่น CK ราคาเป้าหมาย 27.30 บาท และ SEAFCO ราคาเป้า 2.85 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ (29 ม.ค.68) ว่า จากกรณีที่ นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกว่า หลังจากที่กองทัพเรือ (ทร.) ได้สรุปผลการประมูลคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ 2 และทางขับ (แท็กซี่เวย์) แล้วคือบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD

ขณะนี้ยังรอสรุปผลการคัดเลือกที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง (CSC) ซึ่งอยู่ระหว่างต่อรองราคาเนื่องจากวงเงินยื่นประมูลเกินจากราคากลาง และกรอบงบประมาณ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปและลงนามสัญญากับผู้รับจ้างก่อสร้างและที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างเพื่อเริ่มก่อสร้างรันเวย์ได้ภายในเดือน ก.พ. 68

ทั้งนี้ เมื่อกองทัพเรือเริ่มก่อสร้างรันเวย์ ทาง บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ผู้รับสัมปทานสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก จะเริ่มก่อสร้างในส่วนอาคารผู้โดยสารและเมืองการบิน หรือ Airport City ซึ่งจากการหารือกับ UTA เห็นว่าจะไม่รอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ว่าจะได้ก่อสร้างเมื่อไรแล้ว เพราะการพัฒนาเมืองการบินจะมีส่วนสำคัญในการสร้างดีมานด์ให้เกิดความต้องการในการเดินทางขึ้นมาได้แน่นอน

สำหรับ UTA มีแผนที่จะเริ่มการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและเมืองการบินก่อนการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง โดยบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ถือหุ้น 45% ใน UTA, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ถือหุ้น 35% และบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ถือหุ้น 20%

โดยโครงการในพื้นที่ EEC ประกอบด้วยโครงการเมกะโปรเจกต์ 4 โครงการ : ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (บริษัทร่วมทุน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้รับสัมปทาน), ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (GULF, PTT, Chec Oversea Infrastructure Holding), รถไฟความเร็วสูง (CP, ITD, BEM หรือ Aisa Era One), และสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (BA, BTS, STECON หรือ UTA)

ขณะที่เบื้องต้น EEC มีแผนให้เริ่มก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงก่อน แล้วจึงเริ่มก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดความล่าช้าอย่างยาวนานของโครงการรถไฟความเร็วสูง ขณะนี้ EEC มีแผนอนุญาตให้ UTA เริ่มก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภาก่อนโครงการรถไฟความเร็วสูง

สำหรับโครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว ปัจจุบันโครงการในพื้นที่ EEC ที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ได้แก่ 1) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท โดย ITD เป็นผู้รับเหมา) 2) ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 (มูลค่าโครงการ 2.1 หมื่นล้านบาท โดย CNCC) และ 3) รันเวย์และทางขับที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่าโครงการ 1.3 หมื่นล้านบาท โดย ITD)

ด้านโครงการที่เหลือในพื้นที่ EEC ได้แก่ 1) รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (มูลค่า 1.13 แสนล้านบาท โดย ITD); 2) มอเตอร์เวย์สาย M7 (มูลค่า 4.5  พันล้านบาท อยู่ในขั้นตอนการประมูล) 3) อาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท โดย STECON) 4) ศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศ สาธารณูปโภค และเมืองการบิน ระยะที่ 1 (มูลค่า 1.3 หมื่น้านบาท ยังไม่มีผู้รับเหมา) 5) ระยะที่เหลือของโครงการเมืองการบิน (มูลค่า 2.36 แสนล้านบาท ยังไม่มีผู้รับเหมา) 6) ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 2 (มูลค่า 7.3 พันล้านบาท โดย China Harbour Engineering) และ 7) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ส่วนที่ 2 (มูลค่า 1.54 แสนลบ. รอเปิดประมูล)

ทั้งนี้ โครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินอู่ตะเภามี UTA เป็นเจ้าของโครงการ โดยมี STECON เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกิจการร่วมค้า ดังนั้น STECON มีโอกาสสูงที่จะได้รับสัญญาเพิ่มเติมในโครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.37 แสนล้านบาท

โดยฝ่ายวิจัยได้รวมมูลค่าการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร (มูลค่า 2.7 หมื่นลบ.) สำหรับ STECON แล้ว แต่ยังไม่ได้รวมมูลค่าที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการ UTA สำหรับ STECON, BTS และ BA ตามข้อมูลจาก BTS คาดการณ์ว่าโครงการ UTA จะมี IRR อยู่ที่ 10-11% หากสมมติ IRR ที่ 10% และมูลค่าการลงทุนเท่ากับส่วนทุนใน UTA ที่ 4 หมื่นล้านบาท อาจสร้าง upside ให้กับ STECON ที่ 1.34 บาทต่อหุ้น (13.1% ของราคาเป้าหมาย) BTS ที่ 0.22 บาทต่อหุ้น (4.7% ของราคาเป้าหมาย) และ BA ที่ 2.17 บาทต่อหุ้น (8.1% ของราคาเป้าหมาย) ทั้งนี้ ควรสังเกตว่ายังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลา รายละเอียดโครงการ และความสามารถในการทำกำไร

พร้อมกันนี้ ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ โดยเชื่อว่าความคืบหน้าของโครงการ EEC จะส่งผลบวกต่อ STECON (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท), BTS (แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 4.67 บาท), BA (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26.87 บาท), ITD (ไม่มีคำแนะนำ)

อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นเราจึงยังไม่ได้รวมมูลค่าที่อาจเกิดขึ้นในประมาณการมูลค่าของเรา หุ้นเด่นที่เรายังคงแนะนำคือ CK (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27.30 บาท) และ SEAFCO (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.85 บาท) เนื่องจากเราคาดการณ์ว่ากำไรจะแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของมูลค่าในมือที่สูงขึ้น

Back to top button