พาราสาวะถี

วางคิวปราศรัยช่วยผู้สมัครหาเสียงนายก อบจ.ช่วงโค้งสุดท้าย ไว้ในพื้นที่ 3 จังหวัดสำคัญที่พรรคเพื่อไทย หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องทวงคืนเก้าอี้ สส.


วางคิวปราศรัยช่วยผู้สมัครหาเสียงนายก อบจ.ช่วงโค้งสุดท้าย ไว้ในพื้นที่ 3 จังหวัดสำคัญที่พรรคเพื่อไทย หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องทวงคืนเก้าอี้ สส.ให้กลับคืนมาชนิดยกจังหวัดทั้ง 3 แห่ง วันนี้ (30 มกราคม) ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงจะขึ้นเวทีปราศรัยรอบเช้าที่ลำพูนช่วย อนุสรณ์ วงศ์วรรณ ก่อนจะเดินทางกลับไปเดินตลาดวโรรส อำเภอเมืองเชียงใหม่ ช่วย พิชัย เลิศพงศ์อดิศร หาเสียง และขึ้นเวทีปราศรัยที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอเมืองเชียงใหม่ ในช่วงสี่โมงถึงหกโมงเย็น เป็นการจบภารกิจช่วยหาเสียง

โดยเฉพาะพื้นที่เชียงใหม่นั้น นายใหญ่เน้นเป็นอย่างมาก นอกจากจะวิ่งรอกในช่วงวันสุดท้ายแล้ว ก่อนหน้า 23-24 ธันวาคมที่ผ่านมาเคยมาช่วยหาเสียงไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร เนื้อหาของการปราศรัยนั้น ยังคงพุ่งเป้าไปที่นโยบายซึ่งรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร จะขับเคลื่อน ที่ทักษิณย้ำและเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จคือ การปราบปรามยาเสพติด ถึงขนาดประกาศที่เชียงรายเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ปีนี้ต้องให้จบ “บ่ละไว้เป๋นป้อมึง” เช่นเดียวกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์

อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจกับการปราศรัยช่วงโค้งสุดท้ายนั้น นายใหญ่เดิมพันด้วยคำมั่นสัญญาที่จะทำงานหนักช่วยลูกสาวในช่วง 3 ปีจากนี้ ด้วยการประกาศว่า ตนทุ่มเทเต็มที่ทั้งกำลังกายกับสมอง พรรคเพื่อไทยจะระดมสรรพกำลังแก้ปัญหาให้คนไทย เอาให้มันฟื้นและรุ่งเรืองเหมือนตอนที่ตนเป็นนายกฯ สมัยที่บริหารประเทศมีอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไวที่สุด งบประมาณสมดุลถึง 2 ปี ตอนนี้งบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง หนี้สินมากมาย วันนี้หนี้ประชาชน หนี้ครัวเรือน หนี้ประเทศมาก

อย่างที่บอกว่าความสำเร็จที่ผ่านมา ถือเป็นจุดได้เปรียบของทักษิณในการที่จะเรียกความเชื่อถือ คะแนนนิยมจากคนไปฟังการปราศรัย ดังนั้น การบอกชาวบ้านที่เชียงรายว่า จากนี้ไปอีก 3 ปีพี่น้องจะเฟื่องฟูเหมือนเก่า มันจึงช่วยจุดความหวัง มิหนำซ้ำ ยังยกเอาเรื่องจีนรับซื้อมันสำปะหลัง 3 แสนตันจากไทย ทำให้ราคามันสูงขึ้น จึงขายฝันต่อด้วยการทำให้ราคาลำไย ราคาข้าว และสินค้าเกษตรอื่น ๆ พุ่งตาม ด้วยการขอให้จีนซึ่งเป็นตลาดสำคัญรับซื้อ พร้อมเปิดตลาดกันอย่างต่อเนื่อง พูดอย่างนี้คนก็พร้อมจะให้โอกาสรัฐบาล ถ้าสำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงคะแนนว่าจะไหลมาเทมาขนาดไหน

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องท่วงทำนอง ลีลาในการลดทอนความน่าเชื่อถือของคู่แข่ง อาศัยช่วงตรุษจีนนายใหญ่ตีกินแบบนิ่ม ๆ ไม่ใช่การโจมตีแบบตรง ๆ ไม่ได้ให้ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม แต่บอกแค่ว่าตรุษจีนชอบใส่เสื้อสีแดง แล้วชอบกินส้ม ตรุษจีนต้องใส่เสื้อสีแดงแล้วกินส้มให้ได้ จะได้เจริญ ๆ ทันทีทันใดก็มีคนที่ฟังอยู่ตะโกนสวนขึ้นมาว่า “กินส้มแต่คายแล้ว” ทำให้ทักษิณตอบกลับทันทีว่าดี ๆ นี่คือความเก๋าไม่ก้าวร้าว เอามัน ทว่าคนฟังรับสารไปเต็ม ๆ ต้องเลือกใครแล้วลืมใคร

การเมืองเมื่อเข้าสู่โหมดแข่งขัน ทุกคน ทุกพรรคสามารถที่จะนำเสนอ ขายฝัน ชักจูง โน้มน้าวให้คนเลือกได้พิจารณา ตัดสินใจได้เต็มที่ การโจมตี สาดโคลนอาจมีอยู่บ้าง แต่ด้วยกฎหมายที่คุมเข้มจึงตั้งการ์ดสูง ระมัดระวังกันเต็มที่ อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่หลังการรัฐประหารของเผด็จการ คสช. กติกาต่าง ๆ ที่วางไว้ไม่ได้อาจทำให้ฝ่ายการเมืองอึดอัดในช่วงแรก พอจับทิศจับทางกันได้ ประสานักเลือกตั้งอาชีพไม่ได้เป็นปัญหา ย้ำว่าที่รับผลพวงไปเต็ม ๆ กลับเป็นการถูกดูดอย่างหนักของพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งสนามใหญ่เลือกตั้ง สส.ตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2566 การเลือกตั้งสมาชิก อบจ. และนายก อบจ.หนนี้ก็ไม่เว้น ยังเป็นปัญหาต่อเนื่อง อดีตคนของพรรคเก่าแก่กระจัดกระจายไปอยู่ใต้ชายคาของพรรคการเมืองที่มีบารมีในยุคเผด็จการเรืองอำนาจ หลายจังหวัดทางภาคใต้เผชิญปัญหาผู้สมัครของพรรคเจอคู่แข่งที่เคยอยู่พรรคเดียวกัน มีทั้งที่เปลี่ยนสีเสื้อโดยสิ้นเชิง และที่ยังแทงกั๊กไม่ได้ลงสมัครในนามพรรค แต่อาศัยฐานเสียงของพรรคส่วนหนึ่งมาสนับสนุน และได้รับการถือหางหลักจากพรรคที่กุมอำนาจฝ่ายปกครอง

การเข้าร่วมรัฐบาลไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะหัวคะแนน รวมไปถึงนักการเมืองท้องถิ่นได้ตัดสินใจเลือกฐานที่มั่นกันไปแล้วหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าบรรดาคนรุ่นเก่าของพรรคหลายรายประกาศวางมือกันไปเป็นจำนวนมาก นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการทำพื้นที่ ไม่ใช่แค่ความเชื่อ และความนิยมของคนจะเปลี่ยนไป พวกที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นคนกันเองถือเป็นศัตรูตัวฉกาจที่บ่อนเซาะบอนไซพรรคเก่าแก่อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกกับกรณีที่ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุงของพรรคหลายสมัยจะเตือนทำนองประชดประชัน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคที่จะไปลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.พัทลุงหาเสียง ด้วยข้อกล่าวหาว่า แม้จะไม่ได้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์แล้ว และบอกว่าจะไม่ไปเข้าร่วมพรรคการเมืองใด ก็ไม่ควรไปเพิ่มกำลังให้ศัตรู ทั้งที่รู้กันอยู่ว่า การเมืองเรื่องสายสัมพันธ์ส่วนตัวนั้นเป็นสิ่งที่ตัดกันไม่ขาด 

การประกาศว่าไม่ได้ถือหางใคร แต่ความจริงในใจคือเลือกแล้วว่าจะหนุนหรือไม่หนุนใคร ซึ่งผู้สมัครที่อภิสิทธิ์จะไปช่วยหาเสียงแล้วถูกนิพิฏฐ์ดักคอไว้นั้นก็คือ สาโรจน์ สามารถ ผู้สมัครจากทีมรักพัทลุง โดยกาญจนี วัลยะเสวี อดีตแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า การลงพื้นที่ของอภิสิทธิ์ เพื่อช่วยสาโรจน์ ถือเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองคน เพราะมีความผูกพันกันมานาน สาโรจน์จริงใจต่ออภิสิทธิ์เสมอมา ไม่เคยหักหลัง ทรยศเพื่อให้ตนได้มีตำแหน่งแห่งหน

ทั้งที่พรรคเก่าแก่ไม่ส่งคนลงสมัคร แต่ก็มีการตีกันคนอื่น ๆ ที่จะลงมาช่วงชิงเก้าอี้กับคนที่ยังอิงแอบอยู่กับพรรคถือเป็นการเล่นกันแบบไม่แฟร์ หรือกลัวแพ้แล้วจะเสียฐานเสียงกันตลอดไป ถ้ามั่นใจว่ากระแสยังดี และยังได้ชื่อว่าอยู่ฝ่ายกุมอำนาจไม่น่าจะต้องออกอาการกันขนาดนั้น เป็นธรรมดาของความเปลี่ยนแปลง คนที่ยังยึดติดกับอดีตที่คิดว่าตัวเองดี มีหลักการ โดยไม่ได้มองความเป็นจริงที่ปรากฏตรงหน้า ย่อมรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งหนีไม่พ้นการจงเกลียดจงชังกับพรรคที่มาตีท้ายครัว และกำลังแผ่อิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้อยู่เวลานี้

อรชุน

Back to top button