8 หุ้นเกาะเทรนด์ “ดาต้าเซ็นเตอร์” วิ่ง! ขานรับ TikTok รุกลงทุนไทยหนัก 1.26 แสนล้านบาท
INSET-LTS-BE8-WHA-AMATA-GULF-GPSC-ADVANC เกาะเทรนด์ “ดาต้าเซ็นเตอร์” วิ่ง! ขานรับบริษัทในเครือ TikTok ทุ่มเงินลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์กว่า 1.26 แสนล้านบาทรุกลงทุนไทยหนัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ม.ค. 68) ราคาหุ้นที่เกาะเทรนด์ดาต้าเซ็นเตอร์ปรับตัวขึ้นทั่วหน้า ณ เวลา 10:43 น. นำโดย บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.88 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 4.35% สูงสุดที่ระดับ 2.96 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.86 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36.67 ล้านบาท
บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 12.50 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 6.84% สูงสุดที่ระดับ 12.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24.10 ล้านบาท
บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 14.70 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.08% สูงสุดที่ระดับ 14.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.96 ล้านบาท
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 4.96 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 1.64% สูงสุดที่ระดับ 5.05 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.92 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 270.04 ล้านบาท
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 25.75 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.98% สูงสุดที่ระดับ26.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 25.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 16.01 ล้านบาท
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 60.50 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 0.83% สูงสุดที่ระดับ 60.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 60.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 233.89 ล้านบาท
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 32.50 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.56% สูงสุดที่ระดับ 33.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 32.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 56.89 ล้านบาท
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 287.00 บาท บวก 2.00 บาท หรือ 0.70% สูงสุดที่ระดับ 288.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 284.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 210.58 ล้านบาท
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนัดแรกปี 2568 ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ว่า บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท ประกอบด้วยกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่
โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอคอนเทนต์ยอดนิยม โดยจะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวม 126,790 ล้านบาท
รวมทั้งกิจการ AI Cloud Service ของ บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ได้รับเลือกให้เป็น NVIDIA Cloud Partner (NCP) จะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีและปทุมธานี มูลค่าลงทุนรวม 3,250 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ยของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี มูลค่าลงทุนรวม 40,400 ล้านบาท
“ปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่าง Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย รวม 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงเป็นอันดับหนึ่ง สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI รวมทั้งการจัดเก็บและประมวลผล Big Data การลงทุนของทั้งสองโครงการนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว
นายนฤตม์ กล่าวเสริมว่า สถานการณ์ความผันผวนของโลก อันเนื่องมาจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในการช่วงชิงฐานการลงทุน บีโอไอจึงได้มีแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในปี 2568 เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และพร้อมรับกระแสการโยกย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแผนดำเนินงาน 5 ด้านสำคัญ ดังนี้
1.) เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมุ่งดึงดูดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย อุตสาหกรรม BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า (xEV), เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการผ่านคณะกรรมการระดับชาติ ทั้งบอร์ดอีวี บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ และคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ด้านซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุน และเตรียมขยายสำนักงานบีโอไอเพิ่มอีก 2 แห่งที่นครเฉิงตู ประเทศจีน และสิงคโปร์
2.) ยกระดับผู้ประกอบการไทย และสนับสนุนการเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสร้างโอกาสในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการสนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ และการจัดกิจกรรมการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม
3.) พัฒนาบุคลากรทักษะสูง โดยบีโอไอทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะด้าน Semiconductor, PCB, ดิจิทัล และ AI ทั้งการจัดทำ Roadmap ที่ชัดเจนและการกำหนดมาตรการสนับสนุน นอกจากนี้จะดึงดูดบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการ LTR Visa และ Smart Visa รวมทั้งการขยายการให้บริการของศูนย์ One Stop Service ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน
4.) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศการลงทุน โดยส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพและดิจิทัลที่สำคัญเพื่อรองรับการลงทุน พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาและเตรียมพื้นที่รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน และพัฒนาเครื่องมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) ร่วมกับกระทรวงการคลัง
5.) การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อการลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้บีโอไอจะทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในการออกแบบกลไกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งกลไก Utility Green Tariff (UGT) และการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA)
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok และ AI Cloud ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด มูลค่ารวม 1.3 แสนล้านบาท มีดังนี้
1.กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อาทิ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA และ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA
2.กลุ่มโรงไฟฟ้า อาทิ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
3.กลุ่มสื่อสาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับ DATA CENTER อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE
4.กลุ่มอินฟราสตรักเจอร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ DATA CENTER อาทิ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET และ บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS
5.กลุ่มที่ปรึกษาในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี อาทิ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 และ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนของ TikTok และ AI Cloud ได้แก่ กลุ่มก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ อาทิ INSET และ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON หุ้นโรงไฟฟ้า อาทิ GULF, WHAUP และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM