พาราสาวะถี

วันเสาร์นี้ (1 กุมภาพันธ์) มีเลือกตั้งนายก อบจ.และสมาชิก อบจ.ในพื้นที่ 47 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 8 จังหวัด อีสาน 11 จังหวัด ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 17 จังหวัด และภาคใต้ 11 จังหวัด


วันเสาร์นี้ (1 กุมภาพันธ์) มีเลือกตั้งนายก อบจ.และสมาชิก อบจ.ในพื้นที่ 47 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 8 จังหวัด อีสาน 11 จังหวัด ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 17 จังหวัด และภาคใต้ 11 จังหวัด พื้นที่เป้าหมายของพรรคเพื่อไทย ที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ช่วยหาเสียงอยู่ที่ภาคเหนือและอีสาน ในส่วนของภาคเหนือนั้นน่าจะเป็นงานง่ายเพราะเจอคู่แข่งจากพรรคประชาชน โอกาสจะพลิกล็อกเหมือนเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมาคงไม่เกิด ที่น่าดูชมหนีไม่พ้นภาคอีสานเพราะขับเคี่ยวกับภูมิใจไทยชนิดได้เบียดได้ลุ้นกันทุกจังหวัด

ขณะที่พื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกนั้น น่าจะเป็นการแบ่งเก้าอี้กันไปตามความเข้มแข็งของผู้สมัครแต่ละจังหวัด น่าจะเป็นพื้นที่ซึ่งพรรคประชาชนมีโอกาสจะปักธงได้ตำแหน่งนายก อบจ.อย่างน้อย 1-2 ที่นั่ง ส่วนภาคใต้ที่ดูเหนือกว่าคู่แข่งหนีไม่พ้นคนของภูมิใจไทย โดยฐานะของ อนุทิน ชาญวีรกูล จำเป็นต้องออกตัวแสดงให้เห็นว่าวางตัวเป็นกลาง ความเป็นจริงทุกสนามมีลูกทีมของพรรคสีน้ำเงินไปช่วยเดินหาเสียงให้กับผู้สมัครกันคึกคัก

น่าสนใจคงเป็นที่จังหวัดนราธิวาส แชมป์เก่า 5 สมัยอย่าง กูเซ็ง ยาวอหะซัน จากพรรคประชาชาติ ถูกท้าทายด้วยผู้สมัครอย่าง อับดุลลักษณ์ สะอิ ที่พี่ชายเป็น สส.ภูมิใจไทย ทำให้ในการหาเสียงนอกจาก ชาดา ไทยเศรษฐ์ แกนนำพรรคสีน้ำเงินจะไปช่วยแล้ว ยังมี ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรคกล้าธรรม ให้การสนับสนุนด้วย เป้าหมายชัดว่าต้องการล้มคนเก่า ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามว่าเป็นการรวมกันเฉพาะกิจ หรือจะลากยาวไปถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วย

ประเด็นนี้เสี่ยหนูรีบออกตัวทันทีว่าไม่รู้ แต่เข้าใจได้ว่าชาดาไปช่วยเพราะเป็นพวกกัน หรือญาติกัน พร้อมมั่นใจด้วยว่ายังไงเสียคงไม่มีการแยกตัวไปร่วมพรรคการเมืองอื่น เพราะเจ้าพ่ออุทัยธานีถือเป็นผู้ใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ก่อนจะหยอดคำหวานถึงลูกสาวชาดานั่นก็คือ ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกต่างหากว่าทำงานกับตนได้เป็นอย่างดี น่ารัก มีผลงาน คงเป็นไปตามนั้น ถ้าไม่มีการเหยียบตาปลากัน ยังไงเสียก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนสีเสื้อ

เมื่อมองไปยังภาพของการหาเสียง และสิ่งที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้ง อบจ.ชุดใหญ่รอบนี้ พอจะทำให้เห็นแนวโน้มของการเมืองภาพใหญ่ ไม่ว่าจะช่วงชิงกันหนักหน่วงขนาดไหนระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย สุดท้ายก็เป็นไปอย่างที่เสี่ยหนูกับ แพทองธาร ชินวัตร ว่าไว้ ทุกอย่างเป็นเหมือนเกมกีฬา ระหว่างการแข่งขันก็สู้กันเต็มที่ หลังรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ยังคงเป็นเพื่อน มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน เช่นเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ได้เห็นว่ากรณีนี้จะเป็นปัญหาจนสั่นคลอนเสถียรภาพ

ไม่เพียงเท่านั้น หากทุกสนามคนของสองพรรค หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นสามารถกวาดชัยชนะมาได้ทั้งหมด โดยพรรคแกนนำฝ่ายค้านไม่สามารถเบียดแทรกมาได้ ยิ่งจะส่งผลถึงความมั่นใจต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ในฐานะรัฐบาลพลิกขั้วที่รับภารกิจในการสกัดกั้นพรรคสุดโต่งไม่ให้ชนะถล่มทลายเหมือนครั้งที่ผ่านมา จนยากที่จะปิดทางไม่ให้ก้าวเข้าสู่อำนาจบริหารได้ ถ้างานมวลชนเบื้องต้นประสบผลสำเร็จ งานใหญ่ที่รออยู่ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

สำหรับใครที่มองว่า ความเป็นผู้ช่วยหาเสียงของทักษิณที่กำลังถูกร้องเรียน จ้องเล่นงานจากบรรดาขาประจำทั้งหลาย อาจจะกระทบต่อผลการเลือกตั้ง ตรงนี้ต้องรอดูถ้าเป็นไปตามนั้นจริง อาจจะเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อภารกิจของรัฐบาลพลิกขั้ว แต่เท่าที่รับสัญญาณมาตรงกันคือ ไม่มีอะไรที่จะมาสร้างความรำคาญใจ หรือก่อปัญหาในการบริหารงานของรัฐบาลผสมได้ บางเรื่องอาจต้องใช้เวลาบ้างเพื่อลดทอนเสียงคัดค้าน ทำให้รอบคอบ ถ้าทุกอย่างว่ากันไปตามกฎหมายยังไงก็ได้เดินหน้าร้อยเปอร์เซ็นต์

เห็นเป็นตัวอย่างร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่อยู่ในมือของกฤษฎีกา มีการตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษเพื่อปรับแก้ร่างดังกล่าว ใช้บริการเนติบริกรมือฉมัง วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และ ธงทอง จันทรางศุ ร่วมเป็นกรรมการ แสดงให้เห็นว่างานนี้ต้องการการันตีความโปร่งใสของข้อกฎหมาย ทำให้ทุกฝ่ายสบายใจ ส่วนเสียงคัดค้าน การทำประชามติหรือไม่ อยู่ที่รัฐบาลในฐานะต้นเรื่องจะเป็นผู้ตัดสินใจ

กระบวนการที่เห็นแม้จะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ก็ควรจะย้อนไปดูขั้นตอนที่ทักษิณได้รับการดูแลนับตั้งแต่เดินทางกลับมาประเทศไทย หากยังคงเป็นช่วงสถานการณ์ความขัดแย้ง หรือความเกลียดชังระบอบทักษิณยังปกคลุมอยู่ ถามว่าภาพเช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน จริงอยู่ที่ว่ากฤษฎีการับเผือกร้อนมาแล้วก็ต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัด แต่ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการระดับวีวีไอพีแบบนี้มาดูก็ได้ นั่นย่อมทำให้เห็นว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลคิด และจะทำ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของทักษิณ แพทองธาร และเพื่อไทยเท่านั้น

เปิดปฏิบัติการเป็นที่เรียบร้อย สกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน 14 จังหวัดร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านสกัดกั้นนำเข้าและตัดเส้นทางลำเลียงยาเสพติด โดย ป.ป.ส.จะดูแลพื้นที่ที่จำเป็นเร่งด่วนและกำหนดผู้รับผิดชอบตามมาตรา 5 (10) กฎหมายยาเสพติด ให้แม่ทัพภาคเป็นผู้บัญชาการสกัดยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ตามแนวชายแดนที่ยังหลุดรอดเข้ามา พร้อมกำหนดการประเมิน KPI เรียบร้อย 3 ช่วงคือ กุมภาพันธ์-มีนาคม เมษายน-พฤษภาคม และ มิถุนายน-กรกฎาคม ก่อนจะมีการประเมินภาพรวมทั้งหมดอีกรอบ

ที่ต้องขีดเส้นใต้คงเป็นคำประกาศิตจาก “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การปราบปรามยาเสพติดรอบนี้ ต้องเด็ดขาดภายใต้กรอบกติกาที่ไม่เกินกว่าเหตุ ภายใต้หลักนิติธรรม คำถามที่ตามมาเพื่อจะตอกย้ำภาพการทำสงครามยาเสพติดยุคทักษิณนั่นก็คือ เป็นการไฟเขียวให้จับตายหรือไม่ หากผู้ค้ายาใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ มีบทเรียนและถูกกล่าวหาจนเป็นตราบาปติดตัวมาแล้ว คงไม่ซ้ำรอยเดิม แต่เชื่อได้เลยว่าถ้าฝ่ายกุมอำนาจมุ่งมั่นล้างบางให้สิ้นซากจริง เสียงหนุนจากประชาชนจะมากกว่าพวกตั้งป้อมค้านดะทุกเรื่องแน่นอน

อรชุน

Back to top button