15 หุ้นตีปีก รับ “ต่างชาติ” แห่ลงทุนไทยเพิ่ม หนุน GDP ปี 68 โตเฉลี่ย 2.9%

BOI เปิดยอดต่างชาติลงทุนไทยปี 67 ทะลุ 1.14 ล้านล้านบาท เติบโต 35% จากปีก่อน โบรกมองบวก WHA, AMATA, ROJNA, PIN, ADVANC, TRUE, BBIK, BE8, INSET, AIT, ICN, PIS, GULF, BGRIM และ GPSC หนุน GDP ปี 68 โตเฉลี่ย 2.9% พร้อมตั้งเป้าดึง จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย, ตะวันออกกลาง, สหรัฐอเมริกาและยุโรปลงทุนไทยเพิ่ม


“สำนักข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากข่าว คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยข้อมูลการยืนขอลงทุนในประเทศไทยในปี 2567 ซึ่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 35% มูลค่าการลงทุนรวม 1.14 ล้านล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ศูนย์ข้อมูล และ บริการคลาวด์ รวมถึงการผลิต เซมิคอนดักเตอร์ รวมถึง อิเล็กทรอนิกส์ ขั้นสูง

โดยจากการสำรวจพบว่า ศูนย์ข้อมูล-บริการคลาวด์ ขึ้นครองอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในการจัดอันดับภาคส่วนตามมูลค่าเมื่อปีที่แล้ว 2566 จากทั้งหมด 3 อันดับ โดยมีโครงการที่ได้รับสัญญาลงทุน 243,300 ล้านบาท จำนวน 150 โครงการ ยกตัวอย่างเช่น โครงการจาก Google (Alphabet) สหรัฐอเมริกา, NextDC ของออสเตรเลีย, CtrlS Data centers จากอินเดีย และ GDS IDC Services PTE Ltd. สิงคโปร์ เป็นต้น ส่วนอันดับที่ 2.) คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และ 3.) กลุ่มยานยนต์

ขณะที่ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS ซึ่งระบุว่า ยอดการลงทุนจาก BOI ปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดรอบ 10 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้ง BOI ทั้งนี้ การเติบโตดังกล่าวยืนยันว่าประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสงครามการค้าระหว่างประเทศ (Trade war)

ส่วนแนวโน้มในปี 2568 คาดว่า การโยกย้ายการลงทุนยังมีโอกาสเกิดขึ้นสูง เนื่องจากไทยถือเป็นสะพานเชื่อมเศรษฐกิจระหว่างมหาอำนาจทั้งสองฝั่ง ล่าสุด บอร์ด BOI ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนใน 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 1.) โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TIKTOK PTE. LTD. มูลค่าการลงทุน 126,790 ล้านบาท, 2.) กิจการ AI Cloud Service ของ บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด มูลค่าการลงทุน 3,250 ล้านบาท และ 3.) โครงการผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ (วัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย) บริษัท เอเซีย แปซิฟิก โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด มูลค่าการลงทุน 40,400 ล้านบาท ข้อมูลนี้ แสดงให้เห็นถึงทิศทางการลงทุนที่เติบโตและขยายตัวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า การลงทุนจากภาคเอกชนที่เติบโตจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต โดยสำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2568 จะเติบโตขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ BOI เตรียมการจัดโรดโชว์การลงทุนในปี 2568 โดยมีประเทศเป้าหมาย อาทิ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย, ตะวันออกกลาง, สหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อดึงการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งต่อยอดฐานอุตสาหกรรมสำคัญในประเทศไทยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้าง โอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย และขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ส่วนของหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของการลงทุน แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1.หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม คือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA และ บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN

2.หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และ การสื่อสาร ICT – DATA CENTER อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE, บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK, บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8, บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET, บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT, บริษัท อินฟอร์เมชั่น แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น เน็ทเวิร์คส จำกัด (มหาชน) หรือ ICN และ บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIS

3.หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า อาทิ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ซึ่งการเติบโตในอุตสาหกรรมต่างๆ เหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวในปี 2568

Back to top button