คลังชงครม. เพิ่มดาบ ก.ล.ต. ออกโทเคนอิงบอนด์หมื่นล้าน ลั่น! กล่าวโทษเร็วขึ้น 6 เดือน
“พิชัย” รองนายกฯ และรมว.คลัง เล็งเสนอครม.ภายใน 2 สัปดาห์ เพิ่มอำนาจ “ก.ล.ต.” เป็นพนักงานสอบสวน ลดขั้นตอนได้เร็วขึ้น 6-7 เดือน หวังฟื้นความเชื่อมั่น-จำกัดความเสียหาย รับลูก “ทักษิณ” เตรียมออก “โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน” อิงพันธบัตรรัฐบาล มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท คาดแล้วเสร็จปีนี้
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการพิจารณาออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ใน 6 เรื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเพิ่มอำนาจสอบสวนให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานตำรวจ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ หรือที่มีผลกระทบจำนวนมาก แต่อำนาจการส่งฟ้องยังต้องดำเนินการผ่านอัยการ
“ส่วนผลบังคับใช้นั้น จะต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมครม. และรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยหากมีพ.ร.ก.ดังกล่าวออกมา จะช่วยย่นระยะเวลาการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำความผิด (หลักทรัพย์) ได้รวดเร็วขึ้นประมาณ 6-7 เดือน” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันคลังอยู่ระหว่างพิจารณาการออกออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ที่อิงพันธบัตรรัฐบาล เบื้องต้นคาดมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับการออกพันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากปกติแล้วในทุก ๆ ปี กระทรวงการคลังจะมีการออกพันธบัตรรัฐบาลใหม่จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่มักอยู่ในมือผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายบุคคลธรรมดาที่มักเก็บไว้ จึงมองเห็นจุดนี้ว่าควรกระจายให้กับผู้ที่อยากลงทุน คาดจะทำให้เสร็จภายในปี 2568
ทั้งนี้ ในเฟสแรกจะออกเป็นรูปแบบโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ในขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักก่อน เพื่อทดสอบและให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมลงทุน โดยจะออกโทเคนมาด้วย เช่น 1 บาท เท่ากับ 1 โทเคน ซึ่งทุกคนจะถือโทเคนไว้และลงทุนได้ รวมถึงจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาใหม่เพื่อให้ซื้อขายได้ง่ายควบคู่กับแพลตฟอร์มที่มีอยู่เดิม เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบเดิมที่ผู้ลงทุนที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลส่วนใหญ่มักจะเก็บไว้ที่ธนาคาร
ส่วนเฟสที่ 2 จะพัฒนาไปสู่รูปแบบการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ เช่น การนำมาเชื่อมกับร้านค้าเพื่อใช้จับจ่ายใช้ซื้อสินค้าและบริการได้อีกด้วย ซึ่งจะเป็นแผนในอนาคต อย่างไรก็ตามอาจจะต้องมีการปรึกษาหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนในเรื่องของการนำมาใช้จ่ายแทนเงิน
“ไม่น่าจะไม่มีปัญหาติดขัดอะไร เพราะเป็นโครงการของรัฐบาลที่ทำออกมา และมีความเชื่อถือ” นายพิชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่อิงพันธบัตรรัฐบาล ในงานปาถกฐาพิเศษในหัวข้อ “Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital” จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ โดยนายทักษิณ ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งประกาศแล้วว่าจะเปิดทางให้สามารถชำระหนี้ด้วย Bitcoin และจะสนับสนุน Cryptocurrency จะเห็นได้ว่าเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น อยากเห็นก.ล.ต.ปรับตัวสู่ดิจิทัลมากขึ้น และต้องเตรียมเปิดทางให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อรับกับเทรนด์โลกที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น การอนุญาตให้ซื้อขาย Stable coin ซึ่งรัฐบาลกำลังเตรียมทำ Sandbox อาจเริ่มที่ภูเก็ต เพื่อเปิดรับชำระด้วย Bitcoin เป็นการจัดการโดยรัฐบาล
ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวถึงเรื่อง Finance Hub ว่าเป็นโอกาสของประเทศไทยในการดึงดูดบริษัทชั้นนำเข้ามาลงทุน แต่กระทรวงการคลังยังมองบางจุดต้องระมัดระวัง โดยช่วงแรกการให้สถาบันการเงินจากต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยจะเป็นการให้รับลูกค้าเฉพาะต่างชาติเท่านั้น ซึ่งเป็นการทดลองในช่วงแรกก่อนที่จะขยายการรับลูกค้าในประเทศ ประกอบกับอยากเห็นบริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น รวมถึงมีความตั้งใจอยากจะดึงบริษัทของไทยที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังอยากเห็นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีส่วนร่วมและบทบาทในการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะมองว่าบล.มีจุดแข็งเป็นที่รู้จักกับผู้ลงทุนเป็นอย่างดี มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน และอยู่ภายใต้การกำกับจากสำนักงานก.ล.ต.อยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยเกิดขึ้นได้รวดเร็วขึ้น พร้อมอยากเห็นการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลที่นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
ส่วนที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในขณะนี้ นายพิชัย กล่าวว่า สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน เพราะนักลงทุนยังอยู่ในช่วงWait & See รอปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งมีความผันผวนและไม่แน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง และยืนยันว่ากองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ยังไม่หมดแรงในการเข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย แต่ผู้บริหารกองทุนฯ จะหาจังหวะในการเข้าลงทุนที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยฯ ได้อย่างสม่ำเสมอ
ด้านศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายรอบนี้มีด้วยกัน 4-5 ประเด็น สาระสำคัญคือการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ก.ล.ต.เป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งทำให้สำนวนหรือระยะเวลาดำเนินการกระชับมากขึ้น โดยในชั้นสอบสวนก.ล.ต.จะมีการทำงานร่วมกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับคดีที่จะเข้าเงื่อนไข
นอกจากนี้ จะเพิ่มบทลงโทษจากการกระทำความผิดในการซื้อขาย เช่น ชอร์ตเซล ที่จะดำเนินการไปถึงตัวผู้กระทำผิดที่จะต้องรับโทษทางกฎหมาย และเรื่องอื่น ๆ จะเกี่ยวข้องกับการยกระดับพวก Gatekeeper ที่ปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องของดำเนินการ เช่น การเอาผิดกับสำนักงานสอบบัญชี, การเข้มงวด FA เป็นต้น
นอกจากนี้ นายพิชัยยังได้กล่าวภายหลังงานสัมมนากรรมการรัฐวิสาหกิจ กรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2568 ในช่วงเย็นวานนี้ (30 ม.ค. 2568) ว่า รัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาล จำนวน 52 แห่ง มีทรัพย์สินมูลค่าราว 16 ล้านล้านบาท และมีหนี้สินจำนวน 10 ล้านล้านบาท โดยหนี้จำนวนนี้มีส่วนของรัฐบาลอยู่ประมาณ 4 ล้านล้านบาท
ส่วนการพัฒนากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน IFF (Infrastructure Fund : IFF) นายพิชัย กล่าวว่า ต้องพิจารณาว่าทรัพย์สินที่จะนำมาทำ IFF มีอะไรบ้าง เนื่องจากทรัพย์สินบางอย่างเป็นของรัฐ และบางอย่างไม่เป็นของรัฐ ราคาเท่าไหร่ นำมาได้อย่างไร และทรัพย์สินดังกล่าวจะสามารถทำเงินกลับคืนมาได้เท่าไหร่ และต้องนำมาดูงบกระแสเงินสด (Cash flow) ทำให้ต้องหารือกันก่อน อย่างไรก็ดีเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายกับเรื่อง Infrastructure Fund เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะค่าโดยสารราคา 20 บาท มันต้องเลี้ยงตนเองได้ด้วยตัวของมันเอง
“ได้เตรียมวิธีการบริหารจัดการของรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายไว้แล้ว โดยในช่วงแรกอาจจะมีผลขาดทุนบ้าง แต่เมื่อผ่านไปในช่วงระยะยาว เช่น 8 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีกำไร และกำไรดังกล่าวจะถูกนำไปชดเชยกับช่วงที่ขาดทุนได้ และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2568” นายพิชัย กล่าว
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังได้ปรับตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2567 ลง จากเดิมที่ประเมินว่า GDP จะโตได้ถึง 2.7% ปรับลดลงเหลือ 2.5% (ช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 2.3-2.8%) ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงขึ้นจากปี 2566 ที่มีการขยายตัวอยู่ที่ 1.9%
สำหรับปี 2568 คลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราเร่งของการขยายตัวอยู่ที่ระดับ 3% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5-3.5%) โดยมี 4 ปัจจัยบวก ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐและเอกชน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.9% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 0.4-1.4%) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้า ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 2.4% ของจีดีพี (ช่วงคาดการณ์ 1.9-2.9%) สะท้อนศักยภาพที่เข้มแข็งของภาคต่างประเทศ
นายพรชัย กล่าวว่า GDP ไทยปี 2568 จะโตได้ถึง 3% หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงต้องเร่งรัดใน 5 เรื่องสำคัญ เริ่มจาก 1) ติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนให้ได้ 80% ซึ่งหากทำได้จะดันจีดีพีเพิ่มขึ้น 0.11% 2) การแจกเงินหมื่นบาทเฟส 3 หากจ่ายหมดจะดันจีดีพีให้ขยายตัวได้อีก 0.1% 3) เร่งรัดการลงทุนโครงการบ้านเพื่อคนไทยให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน 4) กระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวม และช่วงปลายปี ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 คาดทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.15%
และ 5) เร่งรัดการลงทุนภาคเอกชนหลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Region เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบ เสริมความแกร่งให้โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย คาดทำให้ GDP เพิ่มอีก 0.19%