PTTEP บวก 3% หลังกวาดกำไรปี 67 โตแตะ 7.8 หมื่นล้าน เคาะปันผล 5.125 บาท
PTTEP วิ่ง 3% รับกำไรไตรมาส 4 ตามนัด 1.8 หมื่นล้าน หนุนทั้งปีแตะ 7.8 หมื่นล้านบาท จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น เคาะจ่ายปันผลครึ่งปีหลัง 5.125 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (31 ม.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ณ เวลา 10:48 น. อยู่ที่ระดับ 128 บาท บวก 3.50 บาท หรือ 2.81% สูงสุดที่ระดับ 128.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 126 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 749.35 ล้านบาท
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTEP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/67 มีรายได้รวม 81,649 ล้านบาท (เทียบเท่า 2,405 ล้านเหรียญสหรัฐ) ลดลง 0.25% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 4.25% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิสำหรับงวด จำนวน 18,299 ล้านบาท (เทียบเท่า 539 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 4.86% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.48% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ ไตรมาส 4/67 มีปริมาณขายเฉลี่ย 500,365 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหลักจากโครงการจี 1/61 (เอราวัณ) ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนมี.ค.67 รวมทั้งโครงการยาดานามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น หลังจากผู้ร่วมทุนยุติการลงทุนเดือนเม.ย. 67 นอกจากนั้นโครงการโอมานแปลง 6 และโครงการโอมานแปลง 61 มีการขายน้ำมันดิบและคอนเดนเสตเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยลดลง 5% เป็น 45.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยหลักเนื่องจากราคาขายน้ำมันดิบลดลงตามราคาตลาด
ขณะที่ผลประกอบการปี 67 ปตท.สผ.มีรายได้รวม 327,415 ล้านบาท (เทียบเท่า 9,273 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 488,794 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มกำลังการผลิตปิโตรเลียมของโครงการ G1/61 ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 46.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทั้งนี้ปี 67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 78,824 ล้านบาท (เทียบเท่า 2,227 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 2.76% เมื่อเทียบกับปี 66 ที่มีกำไร 76,706.39 ล้านบาท
โดยปี 67 ที่ผ่านมา บริษัทมีความก้าวหน้าสำคัญในการดำเนินธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยสามารถเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยในโครงการ G1/61 ขึ้นมาสู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และยังคงรักษากำลังการผลิตของโครงการอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุน 10% ในโครงการสัมปทานกาชา (Ghasha Concession Project) ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) โดยมีแผนจะเริ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติในปี 68
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับอนุมัติแผนพัฒนาโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 เมื่อเดือนก.ย.567 จากหน่วยงานรัฐของอาบูดาบีแล้ว โดยคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในปีนี้
ขณะเดียวกัน ปตท.สผ.ยังได้เข้าซื้อหุ้นทุน (Share Capital) ในสัดส่วน 34% ในบริษัท E&E Algeria Touat B.V. คาดว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้นในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ปตท.สผ.ถือสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการทูอัท (Touat Project) ที่ 22.1% โครงการนี้เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติบนบกในประเทศแอลจีเรีย มีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และจะสามารถเพิ่มรายได้ ปริมาณการขาย และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันทีเมื่อการซื้อขายเสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม จากผลการดำเนินการในปี 67 คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 67 ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ 9.625 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิที่ 49% รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 38,211 ล้านบาท ได้จ่ายสำหรับงวด 6 เดือนแรกไปแล้วในอัตรา 4.50 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 28 ส.ค.67 ส่วนที่เหลืออีก 5.125 บาทต่อหุ้น จะจ่ายในวันที่ 22 เม.ย. 68 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 68 ซึ่งส่วนหนึ่งของเงินปันผลดังกล่าวจะถูกนำส่งให้กระทรวงการคลังผ่านการถือหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของปตท.สผ. เพื่อการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ปี 67 ที่ผ่านมา ปตท.สผ.ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวงและส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวน 50,450 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย
สำหรับปี 68 ปตท.สผ.ได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 261,940 ล้านบาท (เทียบเท่า 7,819 ล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งงบประมาณดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดตามผลกำไรในปีที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนกิจกรรมการสำรวจ พัฒนา และเพิ่มอัตราการผลิตปิโตรเลียม รองรับความต้องการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน
รวมทั้งลดภาระการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ โดยปตท.สผ.จะนำงบประมาณไปใช้ในการดำเนินแผนงานในการรักษาและการเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยจากโครงการ G1/61 โครงการ G2/61 โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทร็ค 4 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเร่งพัฒนากลุ่มโครงการสำรวจในประเทศมาเลเซีย (Malaysia Greenfields) โครงการในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และโมซัมบิก ให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผนไปพร้อมกับแผนงานเร่งการสำรวจในประเทศไทยและมาเลเซีย รวมถึงการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้สำรองงบประมาณสำหรับการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เช่น พลังงานลมนอกชายฝั่ง และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ และสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว