กสิกรไทย-บลูเบลล์ จัดทัพลงทุนปี 68

มีคำแนะนำดี ๆ ในการจัดทัพลงทุนปี 68 เพื่อความสำเร็จในการสร้างผลตอบแทนท่ามกลางความผันผวนและความเสี่ยงจาก บลจ.กสิกรไทย และบล.บูลเบลล์


เส้นทางนักลงทุน

มีคำแนะนำดี ๆ ในการจัดทัพลงทุนปี 2568 เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการสร้างผลตอบแทนท่ามกลางความผันผวนและความเสี่ยง จาก 1 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) นั่นคือ บลจ.กสิกรไทย และอีก 1 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นั่นคือ บล.บูลเบลล์ ซึ่งได้จัดสัมมนาเพื่อให้ข้อมูล-ความรู้กับลูกค้าแบบจัดเต็มไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management จัดทำบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) เพื่อนำเสนอมุมมองเชิงลึกไปในอนาคตระยะเวลา 10-15 ปีข้างหน้า ซึ่งบทวิจัยดังกล่าวจะครอบคลุมแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ผลตอบแทน และความเสี่ยงของสินทรัพย์กว่า 100 ประเภท

“วิน พรหมแพทย์” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ระบุว่า ในอนาคต 10-15 ปีข้างหน้า ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นโลกเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 6-7% จากในอดีตที่ 8-9% เนื่องจากราคาแพงขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนหุ้นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 5% ตราสารหนี้ไทยราว 2.8% และสินทรัพย์ทางเลือกประมาณ 8-9% หรือโดยเฉลี่ยผลตอบแทนในอนาคตจะอยู่ที่ 4-6% ดังนั้นลูกค้าทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคลจะสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ได้เพื่อจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว

ผลการวิจัยชี้ว่าผลตอบแทนรวมของหุ้นไทยในอนาคตจะอยู่ที่ราว 5% ต่อปี ส่วนใหญ่ราว 3.9% จะมาจากเงินปันผล โดยกลุ่มที่จ่ายปันผลโดดเด่น เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน สื่อสาร และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนกลุ่มที่จ่ายปันผลระดับ 8-10% เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่ รายได้ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยน่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.7% บริษัทส่วนใหญ่อยู่ในเศรษฐกิจเก่า แต่ก็มีบจ.ขนาดใหญ่หลายแห่งเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอ รวมทั้งพบว่าบจ.ไทยมีแนวโน้มจะเพิ่มอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลจาก 60% เป็น 63% ของกำไรสุทธิ ส่วน P/E มีแนวโน้มลดต่ำลงมาที่ 14.5 เท่า อย่างไรก็ตามหุ้นไทยไม่ได้มีสินค้าให้เลือกมากนัก

สำหรับแนวโน้มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในระยะดังกล่าวจะไม่สูงมากนัก เฉลี่ยอยู่ที่ 2.4% เนื่องจากไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย และธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในยุคเศรษฐกิจเก่า แต่การแข่งขันรุนแรงมากขึ้นจากการเข้ามาของสินค้าต่างประเทศ

“หุ้นไทยมีเสน่ห์เรื่องเงินปันผลที่ไม่มีใครมี จากตัวเลขผลตอบแทนหุ้นไทย 5% มาจากเงินปันผลเกือบ 4% ดังนั้นหากยังเลือกที่จะลงทุนหุ้นไทย อาจจะต้องเลือกหุ้นที่ปันผลสูง เพื่อช่วยให้เราสร้างรายได้จากปันผลเข้ามา แต่ก้ต้องเลือกจังหวะที่จะเข้าตอนแวลูชันไม่แพง

สำหรับ GDP ระยะยาวมองเฉลี่ยที่ 2.4% แต่ในระยะสั้นก็ใกล้เคียงกับระยะยาว ปีนี้ก็มองประมาณ 2.3-2.4% การเติบโตจะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ สิ่งที่อาจจะเป็นข้อจำกัดคือเรื่องการส่งออกที่อาจจะโดนผลกระทบจากเรื่องเทรดวอร์ การบริโภคในประเทศถูกจำกัดด้วยเรื่องหนี้ครัวเรือน เราก็ต้องมาลุ้นเรื่องการใช้จ่ายภาครัฐ และมองไปข้างหน้าว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวเพื่อให้เกิดการเติบโตในระยะยาว

ส่วนความกังวลในเทรดวอร์อาจจะน้อยกว่าที่เราคาด จากท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ดูเบาลง ซึ่งเป็นเรื่องดี และภาพการดูเหมือนจะกดเงินเฟ้อให้ต่ำลงก็เป็นข่าวดี แต่อาจจะมีท่าทีทำให้คนกังวลเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์บ้าง อย่างไรก็ตามมองว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังพอไปได้ แม้ตัวเลขจะไม่สวยหรูเหมือนปีก่อน แต่ก็อยากแนะนำให้กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น หุ้นนอกตลาด ตราสารหนี้นอกตลาด” วิน พรหมแพทย์ กล่าว พร้อมสรุปว่า

การจัดพอร์ตนั้นควรกระจายและให้น้ำหนักหุ้นโลกมากกว่าหุ้นไทย รวมทั้งระยะเวลาในการลงทุนควรจะนานขึ้น อย่างน้อยต้องเกิน 5 ปี

ด้านบล.บลูเบลล์ จัดสัมมนาในหัวข้อ Make It Great : The Vision 2025-Great Journey. Great Investment โดยได้รับความร่วมมือจาก 3 บลจ. ได้แก่ บลจ.เกียรตินาคินภัทร, บลจ.พรินซิเพิล และบลจ.แอทเซท พลัส ซึ่งแนะนำให้หาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยบลจ.เกียรตินาคินภัทร คาดการณ์ว่าพันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ มีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ดังนั้นกองทุนที่เน้นตราสารหนี้ระยะกลาง เช่น กองทุน KKP ACT FIXED จึงมีโอกาสได้รับประโยชน์ และควรเพิ่มผลตอบแทนด้วยการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน

ส่วนบลจ.พรินซิเพิล มองว่าการลงทุนในหุ้นโลกยังคงมีศักยภาพสูงในปี 2568 โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตต่อเนื่อง กองทุน PRINCIPAL GLEADER ซึ่งเน้นหุ้นคุณภาพสูงที่เติบโตยั่งยืน เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว นอกจากนี้กองทุน PRINCIPAL VNEQ ก็ได้รับความสนใจจากโอกาสการอัปเกรดตลาดหุ้นเวียดนามสู่ดัชนี FTSE Emerging Market Index

ขณะที่ บลจ.แอสเซท พลัส ชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดภาษีนิติบุคคลและสนับสนุนธุรกิจในประเทศ ดังนั้นกองทุน ASP-USSMALL ที่เน้นการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กคุณภาพสูง และ ASP-DIGIBLOC ซึ่งมุ่งเน้นสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชนที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการอนุมัติ Bitcoin ETF จึงน่าสนใจ

บทสรุปการจัดพอร์ตการลงทุนจากทั้ง 2 ค่าย คือ ควรกระจายการลงทุนออกไปต่างประเทศ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี

Back to top button