3BBIF โบรกอัพ “ซื้อ” เป้าสูง 7.80 บ. ปรับโครงสร้างหนี้ “เพิ่มสภาพคล่อง” หนุนปันผล 11%
3 โบรกอัพเป้าใหม่ แนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายสูงสุด 7.80 บาท มองปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มสภาพคล่องเงินกองทุน ลุ้นจ่ายปันผลเฉลี่ย 11% หลัง BBL ลดดอกเบี้ย MLR -2.90% พร้อมปลดประกันเส้นใยแก้วนำแสง 279,000 คอร์กิโลเมตร
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (3 ก.พ.68) สืบเนื่องจากกรณี บริษัทจัดการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต สามบีบี (3BBIF) แจ้งผ่าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่ากองทุนฯ ได้ปรับโครงสร้างเงินกู้ยืมที่คงเหลือกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL โดยกู้ยืมเงินจาก ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (SMBC) จำนวน 5,450 ล้านบาท เพื่อนำมาชำระหนี้กับ BBL ก่อนกำหนด
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างส่งผลให้หลักประกันทางธุรกิจเส้นใยแก้วนำแสงจำนวน 279,000 คอร์กิโลเมตรถูกปลดจาก BBL และนำไปใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมกับ SMBC ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ทำให้ต้นทุนทางการเงินของกองทุนฯ ลดลง และ BBL ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก MLR เหลือ MLR -2.90%
ขณะที่ ผลจากการปรับโครงสร้างจะทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผล 3BBIF ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ส่งผลดีต่อความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาว
สำหรับจากข่าวปรับโครงสร้างหนี้ของ 3BBIF นั้น ได้มีบริษัทหลักทรัพย์ 3 แห่ง ออกมาประเมินความเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า จากการคำนวณกระแสเงินสดสุทธิของฝ่ายนักวิเคราะห์ พบว่า 3BBIF จะมีเงินสดไหลออกสุทธิ 167.3 ล้านบาท ในไตรมาส 1/68 และจะมีเงินสดไหลเข้าสุทธิ 46 ล้านบาท ในปี 68 ทั้งนี้คาดว่ากระแสเงินสดไหลเข้าสุทธิสะสมรวมอยู่ที่ 960 ล้านบาท ในช่วงปี 68 และ 73 โดยกระแสเงินสดสุทธิดังกล่าวมาจากส่วนต่างของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมทางการเงิน และการชำระคืนหนี้ระหว่างโครงสร้างเดิมและโครงสร้างที่ปรับใหม่ของ 3BBIF
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการกองทุน 3BBIF ซึ่งการปรับโครงสร้างหนี้ที่รอคอยมานานน่าจะสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของผู้สนับสนนหลักของกองทุนอย่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่มีผลบังคับใช้ใหม่ อยู่ที่ 3.7% ลดลงจาก 6.9% ก่อนหน้านี้ทำให้ต้นทุนทางการเงินของ 3BBIF มีความน่าสนใจกว่าคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดอย่าง กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF ซึ่งมีต้นทุนทางการเงินที่มีผลบังคับใช้ที่ 5.5%
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองผิดหวังเล็กน้อยเกี่ยวกับระยะเวลาครบกำหนดของหนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะสิ้นสุดลงก่อนวันหมดอายุของสัญญาเช่าในเดือน ธ.ค. 81 ถึง 8 ปี
ขณะที่ การปรับโครงการหนี้ 3BBIF ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้มีการปรับปรุงประมาณการกำไรปกติระหว่าง 2 ปี คือปี 68 เพิ่มขึ้น 2.1% และปี 69 เพิ่มขึ้น 4.5% จากการประหยัดต้นทุนสุทธิจากการปรับโครงสร้างหนี้ส่งผลให้ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การจ่ายเงินสดตอบแทนต่อหน่วยในปี 68 อยู่ที่ 6.1% เป็น 0.574 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 10.9% และในปี 69 ขึ้นอยู่ที่ 4.3% เป็น 0.575 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 10.9%
ขณะเดียวกัน การจ่ายเงินสดรวมจากทั้งเงินปันผลและเงินคืนทุนของกองทุนเพิ่มขึ้น 1.9% จาก 9.1 บาทต่อหน่วย เป็น 9.3 บาทต่อหน่อหน่วย สะท้อนถึง market IRR ที่เพิ่มขึ้นจาก 7.6% เป็น 8% โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำ 3BBIF จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ใหม่สิ้นปี 68 อยู่ที่ 6.30 บาท จากเดิม 6.25 บาท โดยการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายดังกล่าวเพื่อสะท้อนถึงอัตราคิดลด (WACC) ที่ลดลงจาก 6.4% เป็น 6.0% เนื่องจากสมมติฐานต้นทุนหนี้ที่ลดลง 2.9% เหลือ 4% แม้ว่าจะปรับลดประมาณการรายได้ลง 0.2% ตลอดช่วงเวลาที่เหลือจนถึงปี 81 จากการเติบโตของเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดการณ์ในปี 67
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึงประเด็นนี้ว่าได้ปรับคำแนะนำ 3BBIF เป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” ราคาเป้าหมาย 6.10 บาท จาก 6.00 บาท เนื่องจากปัจจุบันฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) ของ 3BBIF อยู่ที่ 9.1% ซึ่งสูงกว่า IRR ของ กองทุน DIF ซึ่งประเมินอยู่ที่ 6.7% และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเท่ากับ 11% ในงบปี 67- 68
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักระหว่าง 2 ปี คือ ปี 68 เพิ่มขึ้น 2% และปี 69 เพิ่มขึ้น 5% จากดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยที่ปรับลดลงโดยทาง ADVANC ได้ช่วย 3BBIF เจรจากับเจ้าหนี้เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่มีการเข้าซื้อกิจการ 3BB สัดส่วนการถือหุ้น 100% และ 3BBIF มีสัดส่วนการถือหุ้น 19% จาก JAS ในเดือนพ.ย. ปี 66 ซึ่ง 3BBIF สามารถบรรลุข้อตกลงลดอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงปลายเดือน ม.ค.68 ขณะที่ การปรับเพิ่มราคาเป้าหมายที่กล่าวไปข้างต้นเนื่องมาจากการปรับลด WACC เป็น 6.3% ซึ่งต้นทุนหนี้อยู่ที่ 3.6% จากเดิม 6.6% ต้นทุนหนี้ 6.9%
ส่วนการปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากการลงทุนสุทธิปี 2 ปี คือปี 68 เพิ่มขึ้น 2% และปี 69 เพิ่มขึ้น 5% เนื่องมาจากปัจจัยต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ลดลงเหลือ 3.6% (3.2% สำหรับเงินกู้จาก SMBC และ 4.0% สำหรับเงินกู้จาก BBL จากเดิม 6.9% เงินกู้จาก BBL) โดยดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือน ก.พ. ปี 68
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 67 3BBIF มีเงินกู้กับ BBL อยู่ที่ 1.09 หมื่นล้านบาท และในวันที่ 31 ม.ค. 68 ทาง 3BBIF ได้กู้เงิน 5.45 พันล้านบาท จาก SMBC เพื่อนำไปชำระคืนเงินกู้กับ BBL ครึ่งหนึ่ง โดยเงินกู้จาก SMBC มีอัตราดอกเบี้ยที่ THOR + 0.98% และ BBL ตกลงปรับ ลดดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็น MLR –2.9% จากเดิมที่คิดตาม MLR
นอกจากนี้ ยังมีความเห็นจาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ ว่าฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อการปรับโครงสร้างเงินกู้ 3BBIF เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ลงราว 200-300 ล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยลดลงเหลือ 3.61% จากเดิม 6.9% (ซึ่ง BOT ณ 31 ม.ค. อัตราดอกเบี้ย THOR = 2.23705% และ MLR ของ BBL 6.9%)
ขณะที่ เบื้องต้นยังคาดการณ์ว่า 3BBIF จะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อหน่วย 0.03 บาท และมีโอกาสจ่ายผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากประมาณการของฝ่ายนักวิเคราะห์ ซึ่งมองว่าจะสามารถจ่ายผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 0.60 บาทต่อหน่วย (yield 11%) ทั้งนี้ ยังแนะนำ “ซื้อ” 3BBIF ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ 1.) รายได้ของกองทุนฯมีเสถียรภาพจากสัญญาระยะยาวถึงปี 81 ซึ่งคงเหลือระยะเวลา 13 ปี, 2.) มีโอกาสจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าคาดการณ์ จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงและมีสภาพคล่อง เพิ่มขึ้น และ 3.) คาดการณ์ว่ากองทุนฯจะกลับมาจ่ายผลตอบแทนในรูปเงินปันผลในปี 71 เป็นต้นไป