พื้นที่ปลอดภัยพลวัต 2016

“โชเซ่ มูรินโญ่” ผู้จัดการทีมระดับหัวแถวบอกว่า ทุกครั้งที่นักฟุตบอลในทีมคนไหน รู้สึกและเชื่อว่าตนเองอยู่ใน "พื้นที่ปลอดภัย" หรือ comfort zone เขาจะฟอร์มตก และทีมจะตกในอันตราย เพราะว่าความกระหายชัยชนะ และแรงฮึดของจะหดหายไป


วิษณุ โชลิตกุล

 

“โชเซ่ มูรินโญ่” ผู้จัดการทีมระดับหัวแถวบอกว่า ทุกครั้งที่นักฟุตบอลในทีมคนไหน รู้สึกและเชื่อว่าตนเองอยู่ใน “พื้นที่ปลอดภัย” หรือ comfort zone เขาจะฟอร์มตก และทีมจะตกในอันตราย เพราะว่าความกระหายชัยชนะ และแรงฮึดของจะหดหายไป 

คำว่าพื้นที่ปลอดภัยในกีฬาอาชีพ จึงเป็นคำสุ่มเสี่ยงและมีความหมายทางลบ สอดคล้องกับคำพูดเก่าแก่ของโยฮัน ครอยฟ์ ที่ว่า ทีมที่ชนะจนเคยจะอำพรางจุดบกพร่องด้วยอหังการ และเริ่มถดถอย ขณะที่ความพ่ายแพ้คือจุดเริ่มการแก้ไขข้อบกพร่องที่ดีสุด การแพ้จึงสำคัญกว่าชัยชนะ 

คำนี้ ในมุมของการลงทุน ถือว่าเป็นคำที่มีทั้งบวกและลบ บวกคือพื้นที่ซึ่งแสวงหาโอกาสทำกำไร ที่เป็นลบคือ มันเคยเกิดหรือเกิดขึ้นน้อยกว่าปกติ หรือที่เลวร้ายสุดคือ ไม่เคยเกิดขึ้นเลย 

คำว่า ส่วนต่างของความปลอดภัย ของ เบนจามิน แกรห์ม ที่นักลงทุนระดับวีไอ พากันเพียรค้นหาจึงไม่ค่อยแน่นอนนัก โดยเฉพาะในยามที่ตลาดผันผวน 

กรณีหุ้นในตลาดนิวยอร์กร่วงหนักหลายวันหลังตรุษจีนผ่านไป แล้วรีบาวด์แรงเมื่อวันศุกร์ จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ตราบใดที่ดัชนีความผันผวนของตลาดยังครอบงำอารมณ์นักลงทุนทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย พื้นที่ปลอดภัยย่อมหาได้ยาก 

ยิ่งในยามที่ตลาดไม่สามารถหวังพึ่งพา “ปาฏิหาริย์” ของธนาคารกลางสำคัญของโลกอย่างเฟดฯ หรือ ECB หรือ BOJ หรือ PBOC ได้มากนัก จนมีคนเปรียบว่าธนาคารกลางสำคัญยามนี้เปรียบได้แค่ “ขอนไม้ผุๆ กลางมหาสมุทรคลื่นแรง” ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ปลอดภัยเป็นภาพหลอนบ่อน้ำในทะเลทรายหรือ mirage in the desert มากยิ่งขึ้น 

เหตุผลสำคัญเพราะธนาคารกลางเหล่านี้เริ่มทำตัวเป็น “ไม้ปัดสวะ” ไม่ยอมรับฐานะเดิมที่เคยเป็นแหล่งพึ่งพาสุดท้าย หรือ the last resort of the banks ที่จะให้ตนเองกลายเป็นแพะ แต่พยายามป่าวร้องบอกแค่ว่า ทุกคนตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์  

เฟดฯ บอกว่า ตนเองมีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ใช่ดูแลแค่ตลาด แม้ตลาดจะผันผวน แต่ถ้าการจ้างงาน และเงินเฟ้อยังเดินหน้าตามแผน การขึ้นดอกเบี้ยก็จะเป็นวาระหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเสมอในการประชุมทุกครั้ง 

ขณะที่ B0J และ ECB ยังเดินหน้าใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเพื่อหลีกเลี่ยงการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มทางเลือกดังกล่าว บอกโดยนัยให้ตลาดรับทราบว่า การเลือกใช้ดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางทั้ง 2 แห่ง บ่งบอกว่า “บ่จี๊” หรือเงินหน้าตักใกล้หมดแล้ว ส่งผลให้นักลงทุนตีความเป็นว่า การขายก่อนคือทางเลือกแบบ Hobson’s choice ผลลัพธ์คือตลาดหุ้นเป็นทะเลสีแดงเดือด 

ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ ผู้ว่าธนาคาร PBOC ออกมาระบุว่า ไม่มีเหตุผลเลยที่ค่าเงินหยวนจะอ่อนลงไปต่อเนื่องแบบที่ผ่านมาเพราะดุลชำระเงินจีนยังบวก เงินทุนไหลออกยังควบคุมได้ และ ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่ลดฮวบฮาบยังมีเหลือมากพอที่จะไม่เกิดอันตรายได้ ที่สำคัญ อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนในตะกร้าเงินเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น 

คำกล่าวที่ว่า PBOC แม้ถูกตีความว่าเป็นแค่การเกริ่นนำไม่ให้ตลาดหุ้นจีนที่ปิดมานานกว่า 1 สัปดาห์ช่วงตรุษจีน และจะเปิดทำการวันแรกวันจันทร์นี้ ไม่ถูกแรงขายถล่มมากเกินจนน่าสยดสยอง และเป็นต้นเหตุของการขายใหม่ทั่วโลกอีกครั้งในสัปดาห์นี้ แต่ก็เป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นบ้าง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย 

1 ในแนวคิดที่เริ่มมีคนขานรับถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น หรือตลาดเก็งกำไรยามนี้คือ ยอมรับเสียเลยว่า ยามนี้ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุน การย้ายพอร์ตลงทุนจกราคาสินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นไปหาความปลอดภัยที่ ตราสารหนี้ ทองคำ และเงินเยนไม่ใช่คำตอบเบ็ดเสร็จ และอาจมีความเสี่ยงมากกว่าเดิม 

ตลาดตราสารหนี้ที่คนย้ายพอร์ตเข้าซื้อเร็วมากจะให้ผลตอบแทนหรือ บอนด์ยีลด์ต่ำลงตามอุปสงค์อุปทาน ซึ่งแค่นี้ก็ไม่คุ้มแล้ว ส่วนค่าเงินเยนยิ่งไปกันใหญ่เพราะญี่ปุ่นไม่มีทางทำให้เยนแข็งทุกกรณีพร้อมจะออกมาปกป้องเสมอเมื่อเยนแข็งเกินกำหนดในใจเพราะเงินเยนอ่อนคือพื้นที่ปลอดภัยของธุรกิจส่งออกญี่ปุ่นเช่นกัน 

พื้นที่ปลอดภัย ที่กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” เป็นไปได้เสมอสำหรับตลาดเก็งกำไร ในยามที่ไม่ใครกล้าออกมาแสดงตนเป็น “ลุงโง่ย้ายภูเขา” เพื่อชี้ทางสว่างให้เกิดบรรยากาศ ความฉลาดของฝูงชน หรือ wisdom of crowd อย่างแท้จริง 

พูดแบบปัดสวะ (อย่างทรงภูมิ) ของรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ที่ว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่หน้าที่ปั๊มจีดีพี แต่มาเพื่อปฏิรูป ก็เป็นการแสดงความบ้องตื้นแบบที่ทอมัส มอร์ เคยนิยามว่า “คนโง่ที่ชาญฉลาด” เท่านั้นเอง 

ตำบลกระสุนตก มีข้อดีประการเดียวคือ ทุกคนมีความเท่าเทียมกันที่จะเจ็บตัว เพราะล้วนเป็น “มือสมัครเล่น” ไปทั้งสิ้น ผู้รู้ (ที่เคยอ้างหรือมีฉายาไพเราะ) กลายเป็นศาสดาปลอม นักวิเคราะห์เป็นหมอดูเลอะเทอะ ผู้จัดการกองทุนมือเก๋าเป็นแค่ “มือใหม่หัดขับ” ฯลฯ 

ที่เป็นเช่นนี้เพราะธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สถานการณ์ที่บางคนเรียกว่า ทุนนิยมแบบโพสท์-โมเดิร์น ซึ่งมีคำนิยามที่คลุมเครือ แต่มีกรอบผสมผสานโมเดลการจัดการแบบโลกภิวัตน์กับเศรษฐกิจดิจิตอลเข้าด้วยกันอย่างลองผิดลองถูก ทำให้มูลค่าของธุรกิจเกิดการเปลี่ยนมุมมองในการประเมินใหม่ 

ตัวอย่างของการปรับมูลค่าใหม่ของธุรกิจนั้นได้แก่การที่บริษัทอย่าง วีซ่าอินเตอร์เนชั่นแนล ไนกี้ หรือเฟซบุ๊ก หรือ กูเกิ้ล มีมูลค่าแซงหน้า ExxonMobil และ ธนาคารอย่าง ICBC เพราะมีมูลค่าของสินทรัพย์จำบังที่เหนือกว่า  

กระบวนการประเมินมูลค่าใหม่เช่นนี้ เรียกกันว่า repricing phenomena ส่งผลต่อการทบทวนค่าพี/อีของหุ้นรายตัวใหม่ โดยเฉพาะหุ้นบลูชิพทั้งหลายที่เป็นหลักคำนวณในดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นสำคัญของโลก 

ผลของการประเมินมูลค่าใหม่รวมทั้งปรับราคาใหม่นี้ มีนัยสำคัญ ทำให้พื้นที่ปลอดภัยของหุ้นและตลาดลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ  

สถานการณ์ที่ตลาดมีพื้นที่ปลอดภัยลดลงทั่วโลก เป็นทั้งโอกาสและวิกฤตพร้อมกันไป ขึ้นอยู่กับใครจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์มากกว่ากันเท่านั้น 

Back to top button