พาราสาวะถี

เสร็จสิ้นการเลือกตั้งนายก อบจ.ในพื้นที่ 47 จังหวัด เข้าสู่โหมดวิเคราะห์ผลการเลือกตั้ง ที่ตกเป็นเป้าวิจารณ์มากที่สุดหนีไม่พ้น ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียง


เสร็จสิ้นการเลือกตั้งนายก อบจ.ในพื้นที่ 47 จังหวัด เข้าสู่โหมดวิเคราะห์ผลการเลือกตั้ง ที่ตกเป็นเป้าวิจารณ์มากที่สุดหนีไม่พ้น ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียงเน้นจังหวัดในภาคเหนือและอีสาน ที่ถือเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย เป้าหมายคือทวงความยิ่งใหญ่กลับคืนมา ปรากฏว่าสองจังหวัดเชียงราย-ลำพูนพ่ายแพ้ จนเป็นเหตุให้ถูกมองว่า ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง ไม่รุ่งโรจน์เหมือนสมัยนำไทยรักไทยคว้าชัยชนะจนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ

ของพรรค์นี้ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าฝ่ายไหนจะชี้ไปในทิศทางใด สำหรับพรรคแกนนำรัฐบาลย่อมมีการสรุปบทเรียนเป็นการภายใต้ วิเคราะห์จุดแข็งหาจุดอ่อน เพื่อนำไปสู่การจัดวางตัวผู้สมัคร สส.ครั้งต่อไป ทั้งนี้ ในความเห็นของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตัวชูโรงคู่กับนายใหญ่ในการเดินสายปราศรัยหนนี้ มีประเด็นที่ชวนให้คิดอยู่ไม่น้อย กับการชี้ในปมที่บางคนถามว่าทักษิณมาเองได้แค่นี้หรือ ต้องถามใหม่คือ ถ้าทักษิณไม่ลงพื้นที่จะได้ขนาดนี้หรือไม่?

อาจจะถูกอย่างที่เสี่ยเต้นว่า การมาช่วยของทักษิณส่งผลบวกอย่างยิ่งต่อฐานคะแนนของพรรคเพื่อไทย ส่งคนชิงเก้าอี้นายก อบจ. 16 จังหวัด ได้เก้าอี้ 10 ที่นั่ง ถือว่าผ่านได้มากกว่าทุกพรรค ฟังดูเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเอง หรือเอาใจเจ้านาย แต่ความจริงในฐานะคนที่เรื้อสนามเลือกตั้งไปนานถึง 17 ปี การกลับมาทำได้เท่านี้ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบริบทการเมือง และกฎ กติกาที่ไม่ได้เอื้อให้ทำงานได้สะดวกเหมือนในอดีต

ถูกต้องอีกเช่นกันที่ว่า ทักษิณและพรรคตั้งแต่ไทยรักไทยถึงเพื่อไทย ไม่เคยชนะเลือกตั้งด้วยเวทมนต์ แต่สำเร็จด้วยผลงานและนโยบายที่ทำได้จริง ประชาชนที่เลือกในแต่ละยุคสามารถเล่าได้เป็นฉาก ๆ ได้ว่าเลือกเพราะอะไร นโยบายไหนโดนใจ การที่พรรคเพื่อไทยว่างเว้นจากการเป็นรัฐบาลยาวนานร่วมทศวรรษ ทำให้จุดแข็งนี้พร่าเลือนไป ผลงานในอดีตที่ยังสามารถมัดใจได้ ย่อมทำให้คนที่เคยและยังได้รับประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ยังคงภักดีและเลือกพรรคแกนนำรัฐบาลอยู่

ขณะที่จำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ประโยชน์ คนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สัมผัสกับนโยบายในอดีต และฝ่ายที่ตั้งใจไม่เลือกอยู่แล้ว ย่อมไม่ให้ราคาต่อความเป็นทักษิณ ไม่สนใจว่าจะนำเสนอแนวคิด แสดงวิสัยทัศน์อย่างไร แต่โดยภาพรวมผลจากการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.รอบนี้ ล้วนแต่เป็นโจทย์ที่ให้ฝ่ายแข่งขันทางการเมืองต้องนำกลับไปทบทวนทิศทางการเดินงานการเมืองในอนาคตทั้งหมด

หากจะแบ่งภาคของการสรุปบทเรียนจากการเลือกตั้งท้องถิ่นรอบนี้ เพื่อนำไปต่อยอดการดำเนินการทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป การใช้แนวคิดแบบที่ณัฐวุฒิหรือคอการเมืองมองกันน่าจะทำให้เห็นภาพได้ง่ายกว่า นั่นก็คือ การเมือง 3 ก๊ก เพื่อไทย ฝ่ายอนุรักษนิยม และพรรคประชาชน ผลการเลือกตั้งรอบนี้ชัดเจนว่า เพื่อไทยพอใจในระดับไหน ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ลงสัมผัสพื้นที่เอง ทักษิณย่อมเข้าใจได้ว่าควรต้องปรับแก้จุดไหน หากหวังจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง สส.

ส่วนพรรคประชาชนอย่างที่บอกไปวันก่อน การที่พรรคส่งผู้สมัครนายก อบจ. 17 จังหวัด ได้เพียงแค่เก้าอี้เดียว พื้นที่ซึ่งมี สส.ยกจังหวัดแพ้ทุกแห่งนั้น ถือเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่ต้องไปวิเคราะห์ผลกันว่าเพราะเหตุใด สส.ที่ติดยี่ห้อพรรคส้มอยู่นั้น ยังคงทำงานการเมืองเพื่อพรรคอย่างแท้จริงหรือไม่ หากปันใจไปช่วยผู้สมัครของพรรคคู่แข่ง ต้องมองกันต่อไปว่าเป็นการช่วยกันเฉพาะกิจ หรือหวังผลไกลถึงการเลือกตั้งใหญ่ มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วหลายรายที่ถูกดูดไปก่อนหน้านี้

คนเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่า เมื่อลงสมัครครั้งใหม่จะได้เป็น สส.หรือไม่ การได้รับการดูแลเพื่อแลกกับการเปลี่ยนสีเสื้อ ต่อให้สอบตกก็ถือว่าคุ้มค่า เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว พวกที่มีต้นทุนชีวิตสูงอยู่แล้วก็ถือว่าได้ไปต่อยอดใช้ชีวิตให้สบายขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม พรรคที่เป็นจอมดูดก็ไม่ได้ทุ่มสุดตัวเหมือนรอบที่ผ่านมา เพราะมีบทเรียนให้เห็นแล้วว่า พวกงูเห่ากลายสภาพเป็น สส.สอบตกกันเป็นแถว

ฟากของพรรคอนุรักษนิยมต้องยอมรับกันนาทีนี้ภูมิใจไทยคือตัวแทนที่โดดเด่นที่สุด ทำงานและขับเคลื่อนการเมืองในลักษณะใจถึงพึ่งได้ ต่อพอระดับแกนนำอำนาจเปลี่ยนมือจากเผด็จการสืบทอดอำนาจ มาเป็นเพื่อไทยภายใต้การบัญชาการของทักษิณแล้ว การขยับตัวเพื่อไปสู่เป้าหมายกวาดเก้าอี้ สส.ในพื้นที่ซึ่งคู่แข่งที่ไม่ใช่พรรคนายใหญ่ไม่ได้เป็นงานง่ายอีกต่อไป ต้องเจอกระดูกชิ้นโต นอกเหนือจากพยายามรักษาฐานที่มั่นที่มีอยู่ให้ได้ดังเดิม ยังต้องขยับหาเป้าหมายใหม่ด้วยการหนีไปสู้ในพื้นที่ซึ่งพรรคแกนนำเจาะยาก

ภาคใต้คือเป้าหมายสำคัญ การได้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นทั้งนายทุนใหญ่ และหัวหมู่ทะลวงฟันในดินแดนด้ามขวาน ผลงานเป็นที่ประจักษ์ แต่หนนี้บรรดาพรรคในซีกเดียวกัน ต่างก็มุ่งมั่นที่จะเพิ่มจำนวน สส.ให้ได้ เพื่ออำนาจในการต่อรองครั้งต่อไป รวมไทยสร้างชาติที่เห็นว่าเงียบ ๆ แต่ในทางการเมืองมีการขยับ เตรียมความพร้อมกันอย่างคึกคัก เดิมทีพวกที่คิดว่าจะตีตัวออกห่าง หลังจากมีการเจรจา พูดคุยกันจนเข้าใจและหนำใจแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอย และทำท่าว่าจะดูดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ฟากประชาธิปัตย์เข้าทำนองยิ่งสู้ยิ่งเหนื่อย ไม่ตกขบวนฝ่ายกุมอำนาจ แต่ความเป็นเอกภาพ น้ำหนึ่งใจเดียวภายในพรรคไม่เหนียวแน่นเหมือนเก่า เอาแค่รักษาเก้าอี้ที่มีอยู่ก็ถือว่ายากแล้ว ไม่ต้องหวังที่จะเรียกความนิยมกลับคืนมา หรือกู้หน้าได้จำนวน สส.เพิ่มจากเดิม กลายเป็นว่า ภายใต้กติกาของขบวนการสืบทอดอำนาจ ที่หวังจะบอนไซทำให้พรรคของทักษิณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ผลกระทบกลับเป็นบรรดาพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมไปเสียอย่างงั้น

เวลานี้สิ่งที่ทักษิณและพรรคเพื่อไทยหวังคือ เนื้องานที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ยุค เศรษฐา ทวีสิน มาจนถึง แพทองธาร ชินวัตร น่าจะเริ่มผลิดอกออกผล ปีนี้ที่ประกาศเป็นปีแห่งโอกาส ที่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่ลืมตาอ้าปากได้ย่อมเป็นงานง่ายในการที่จะเพิ่มจำนวนเสียง สส.ได้ในอนาคต ไม่ต้องหวังไปถึงว่าจะแลนด์สไลด์ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เอาแค่ได้จำนวนมากพอที่จะลดอำนาจต่อรอง สร้างความอึดอัดเหมือนที่เป็นอยู่ปัจจุบันได้ก็พอใจแล้ว ส่วนสูตรตั้งรัฐบาลยังไงก็ไม่มีทางที่พรรคสุดโต่งจะได้เข้าไปบริหารประเทศ

อรชุน

Back to top button