MFC แนะกองทุน “MEURO-MGF” เน้นลงทุนหุ้นยุโรป-เทคฯ สหรัฐ ผลตอบแทนสูง
MFC แนะกองทุน MEURO รับแนวโน้มตลาดหุ้นยุโรปเติบโตเด่น พ่วงกระจายลงทุน MGF เน้นหุ้นเทคโนโลยี สหรัฐฯ ที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว หลังคลายกังวล DeepSeek จีน
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า MFC มอง ตลาดหุ้นยุโรป น่าสนใจลงทุน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2568 มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดหุ้นยุโรปต่อเนื่องดัชนี STOXX 600 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำนิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง
ด้าน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง หลังจากล่าสุดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในวันที่ 30 มกราคม 2568 เหลือ 2.75% นับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 5 แล้วนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 โดยตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในปีนี้ จากมุมมองที่ว่าภาวะเงินเฟ้อได้คลี่คลายลงโดยปัจจัยหนุนทำให้ ตลาดหุ้นยุโรป ฟื้นตัวต่อเนื่อง มาจากกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต นำโดยหุ้นกลุ่มแบงก์รายงานกำไรไตรมาส 3/2567 มากกว่าคาด 12% ขณะที่ Valuation ไม่แพง และให้ผลตอบแทนหรือ Dividend yield สูงถึง 7% โดยตลาดคาดไตรมาส 4/2567 กำไรจะเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่ม Luxury Brand มีสัญญาณฟื้นตัว หลังแบรนด์หรูอย่าง Cartier รายงานยอดขายสูงกว่าคาดใน Q4/67 โดยมียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลักๆ จากสหรัฐฯและยุโรป ขณะที่ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกลดลง 7% โดยเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและมาเก๊า ลดลงถึง 18% แต่มองแนวโน้มการฟื้นตัวภาคบริโภคของจีนน่าจะดีขึ้น หลังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นและเริ่มเห็นราคาบ้านใหม่ของจีนปรับตัวลดลงในอัตราช้าที่สุดในรอบ 18 เดือน โดยเดือนธ.ค.ลดลงเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
ขณะที่ หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปนำโดย ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องผลิตชิปให้กับโรงงานผลิตชิปทั่วโลกมีสัญญาณฟื้นตัว หลังยอดขายบริษัท TSMC สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2567 เนื่องจากความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังได้เปิดตัว Stargate เมกะโปรเจกต์ AI สุดยิ่งใหญ่เม็ดเงินลงทุนกว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
“ตลาดหุ้นยุโรปยังมีปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แต่ตลาดมองว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มจะประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโกและจีน ก่อนเก็บภาษีจากยุโรป ปัจจุบันตลาดหุ้นยุโรปราคายังถูกและซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ค่า Forward P/E อยู่ที่ระดับ 13.7 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว” นายธนโชติ กล่าว
โดย MFC แนะนำ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี คอนติเนนทัล ยูโรเปียน อิควิตี้ (MEURO) ลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ด้วยรูปแบบการลงทุนที่ยืดหยุ่น ลงทุนได้ทั้งหุ้นขนาดใหญ่, กลางและเล็ก สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนได้ตามมุมมองและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีทีมบริหารกองทุนจาก BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนระดับโลก ผ่านกองทุนหลัก BGF Continental European Flexible Fund ซึ่งเป็นกองทุน Active Fund มีจุดเด่นในการคัดเลือกหุ้น โดยพอร์ตการลงทุนมีหุ้น 35-65 บริษัท และกองทุนหลักได้รับ Morningstar 4 ดาว ใช้แนวคิด ESG ในการคัดเลือกหุ้นโดยได้รับ Morningstar Sustainability 4 ลูกโลก
การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นายธนโชติ กล่าวว่า เป็นโอกาสในการหาจังหวะการเข้าลงทุนในหุ้นที่ปรับฐานลงมาโดยเฉพาะหุ้นด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่ปรับฐานลงมาจากความกังวลโมเดล AI บริษัท DeepSeek ของจีน MFC มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มเมกะเทรนด์โลก มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องตามความต้องการใช้นวัตกรรมและ AI ที่เพิ่มขึ้น จากความกังวลโมเดล AI จากบริษัท DeepSeek ของจีนอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเทคโนโลยีสหรัฐฯ ด้วยต้นทุนของ Deepseek อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเพียง 3-5% ของ Generative AI ของเจ้าอื่นๆ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Deepseek นั้นใช้ชิป H800 ของ Nvidia ซึ่งเป็นรุ่นที่จำกัดความสามารถสอดคล้องกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ แตกต่างจาก Generative AI เจ้าอื่นที่ใช้ H100 ที่มีราคาแพงกว่า ในขณะที่ประสิทธิภาพเทียบเคียงคู่แข่งสำคัญของโมเดล o1 ของ OpenAI “หุ้นเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบปรับฐานลงมา เป็นกลุ่มต้นน้ำ NVIDIA, AMD และ ASML โดนผลกระทบจากโมเดล AI ของ Deepseek ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ชิปน้อยกว่าต้นทุนต่ำกว่า ประเด็นของ Deepseek จะทำให้ความต้องการชิปเพิ่มขึ้นด้วยในระยะยาว เพราะผู้ที่ต้องการพัฒนาระบบ AI สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายมากขึ้น
ในเดือน ก.พ. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มกลับมาผันผวนอีกครั้ง หลังทรัมป์ประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหม่ (Tariffs) จาก 3 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 43% ของการนำเข้าทั้งหมดในปี 2566 โดยเป็นการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศเม็กซิโก 25%, จากสินค้าที่ไม่ใช่พลังงานของประเทศแคนาดา 25% และสินค้ากลุ่มพลังงานอีก 10% รวมถึงเพิ่มภาษีอีก 10% สำหรับสินค้าจีน ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อตามมา
อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของผลกระทบในรอบนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีการเจรจาต่อรอง หรือตอบโต้กลับจากประเทศคู่กรณีหรือไม่ เรามองการปรับตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากการประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ในรอบนี้ เป็นจังหวะทยอยลงทุน โดยเน้นลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดี และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
โดย FMC แนะนำ “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล โฟกัส (MGF)” เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลก (Quality Growth Stock) เป็น Feeder Fund ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Threadneedle (Lux) Global Focus Fund ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นเติบโตคุณภาพดี มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ
ส่วนจุดเด่นของกองทุน MGF เน้นหุ้นเติบโตคุณภาพดี ที่มาจาก 3 ส่วน Return on capital, Growth potential และ Sustainability โดยพอร์ตการลงทุนกระจายอยู่ในกลุ่ม Information Technology 35.2%, Financials 17.6%, Industrials 13.5% และ Healthcare 9.3% นอกจากนี้กองทุนได้รับ Morning Star 5 ดาว และได้รับ Morningstar Sustainability Rating ซึ่งเป็นเรื่องของ ESG ระดับ 4 ลูกโลก เหมาะกับการการลงทุนให้ผลตอบแทนในระยะยาว
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยง อัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และ/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก และขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และตัวแทนสนับสนุนการขาย หรือ โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร. 0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร. 043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร.0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324-25 หรือที่ www.mfcfund.com