โบรกแนะเก็บ 10 หุ้น “SET100” ลงทุนกลาง-ยาว พื้นฐานดี

โบรกแนะเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม SET100 เล่นระยะสั้น ชู AAV-BA- CENTEL-GPSC-JMT ปรับฐานลึกโอกาสรีบาวด์ พร้อมเก็บระยะกลาง-ยาวเน้น KBANK- KTB-ADVANC-TRUE-MINT- ERW- BTS- IVL-AMATA-WHA พื้นฐานดี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดือนมกราคมที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยซบเซาอย่างมาก หลังเผชิญกับความท้าทายทั้งปัจจัยเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้ดัชนี SET Index อ่อนตัวลงเรื่อย ๆ จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ 1,400.21 จุด จนมาปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 อยู่ที่ 1,314.50 จุด ลดลง 85.71 จุด หรือลงไป 6.12%

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งนักลงทุนเทขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อน เพื่อรอดูความเคลื่อนไหวทางการเมืองสหรัฐฯ เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 ว่ามีทิศทางนโยบายเอื้อผลประโยชน์และผลเสี่ยต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไรบ้าง ทำให้ระหว่างทางมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่กดดันเป็นระยะๆ

ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การทำสงครามการค้าทั่วโลก จนกระทั่ง ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 ก.พ.) โดยกำหนดให้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคารที่ 4 ก.พ. ตามเวลาสหรัฐฯ แต่สุดท้ายเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 กับมีการประกาศออกมาใหม่ว่าเลือนเก็บไปอีก 1 เดือน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังจีนประกาศในวันนี้ (4 ก.พ.) ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ด้านการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.นี้

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สถานการณ์สงครามการค้าที่กดดันตลาดตั้งแต่ต้นปี 2568 ผสาน ปัจจัยลบที่กดดันหุ้นรายกลุ่ม รวมถึงรายบริษัทต่อเนื่อง ทำให้ SET Index เคลื่อนไหวทางลบจากต้นปีถึงปัจจุบัน โดยให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 7.8% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันฝ่ายวิเคราะห์เห็นสัญญาณบวกที่ตลาดมีโอกาสกลับตัว ทั้งสถานการณ์สงครามการค้าระลอกแรกที่เริ่มคลี่คลายไปในรูปแบบการเจรจาต่อรองผลประโยชน์ระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก และกำลังจะเจรจากับจีน

ขณะที่ ทางเทคนิคและสถิติ SET วานนี้หลังฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด เพิ่มขึ้น 2.6% โดยสถิติหลังปี 2563 พบว่า 6 จาก 11 ครั้งหลังสุดที่ SET ดีดตัวจากจุดต่ำสุด มากกว่า 2.6% SET มักทารูปแบบเป็นภาพ Reversal โดยเฉพาะการฟื้นตัว ณ ระดับ Equity Risk Premium เป็น Value Zone ที่ 4.4% เกือบแตะ 1.5SD ยกเว้นเพียง 1 ครั้งที่เป็น Technical Rebound แล้วลงต่อจากปัญหา Covid-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ทำให้ภาพรวมรอบนี้ให้น้ำหนักมีโอกาสเห็นภาพ SET เข้าจุดค่อยๆ กลับตัวจากนโยบาย Tarriff นำมาซึ่งการเจรจา ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวเชิงพื้นฐาน

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในระยะสั้นแนะนำ หุ้น SET100 ที่ปรับฐานลึกมีโอกาสรีบาวด์ โดยเน้น บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV, บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT

ส่วนระยะกลาง-ยาว แนะนำ Overweigh BANK (Value + Upside form Asset quality), ICT(Earning Momentum + Data Center Trend), Service Sectors(Entertainment Complex + Undervalue) โดยเน้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ต่อยอดด้วย Industry Estate ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

Back to top button