Netflix ก้าวสู่ Live Event

กลายเป็นที่ฮือฮา “วงการสตรีมมิ่ง” เมื่อ Netflix (เน็ตฟลิกซ์) ออกมาเปิดเผยยอดสมาชิกแบบ Paid Subscriber ครั้งประวัติศาสตร์


กลายเป็นที่ฮือฮา “วงการสตรีมมิ่ง” เมื่อ Netflix (เน็ตฟลิกซ์) ออกมาเปิดเผยยอดสมาชิกแบบ Paid Subscriber ครั้งประวัติศาสตร์ว่าไตรมาส 4/67 มีสมาชิกเพิ่มขึ้น 19 ล้านคน ทำให้ยอดรวมของสมาชิกรายเดือน (Paid Subscriber) ทั่วโลก เพิ่มขึ้นเป็น 302 ล้านคน ก้าวขึ้นเป็นผู้นำวงการสตรีมมิ่งทันที

เท่านั้นยังไม่พอ..ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 4/67 มีรายได้เพิ่มขึ้น 16% และถือเป็นครั้งแรก ที่มีรายได้ทะลุ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 340,000 ล้านบาท)

Ted Sarandos ซีอีโอร่วม Netflix ระบุว่า มาจากอีเวนต์กีฬา นั่นคือ..มวยแมทช์หยุดโลกระหว่าง “ไมค์ ไทสัน” และ “เจค พอล” ที่สามารถดึงผู้ชมมากถึง 108 ล้านแอคเคาท์ อีกทั้งยังถูกจัดให้เป็นรายการสตรีมมิ่งที่มีผู้ชมมากที่สุดด้วย

นอกจากนี้ Netflix รับหน้าที่สตรีมมิ่งการแข่งขันฟุตบอล NFL ถึง 2 เกม ช่วงวันคริสต์มาส ที่มียอดผู้ชมราว 30 ล้านรายทั่วโลก (เป็นรายการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลที่มีผู้ชมมากที่สุด) ด้วยเช่นกัน

ส่วนอีกหนึ่งคอนเทนต์ ที่ช่วยให้ยอดสมาชิกเพิ่มคือกระแสของ “สควิดเกม (Squid Game) ซีซั่นสอง” ที่สามารถดึงผู้ชมได้มากถึง 68 ล้านวิว ช่วงสัปดาห์แรก

ถือเป็นข่าวดีสำหรับแพลตฟอร์ม Netflix แต่กลายเป็นข่าวร้ายของผู้บริโภค เพราะ Netflix มีแผนปรับขึ้นค่าบริการในสหรัฐฯ และแคนาดา (สำหรับแผนแบบมาตรฐานที่ไม่มีโฆษณา) จาก 15.49 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 526.66 บาทต่อเดือน) เป็น 17.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 611.66 บาทต่อเดือน)

ส่วนผู้ชมที่เลือกแผนแบบมีโฆษณาจะขึ้นจาก 1 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 34 บาทต่อเดือน) เป็น 7.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 271.17 บาทต่อเดือน) และแผนที่แพงสุด (รองรับวิดีโอ 4K) พบว่า จะเพิ่มราคาขึ้นอีก 2 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 68 บาทต่อเดือน) เป็น 24.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 848 บาทต่อเดือน)

Ted Sarandos ส่งสัญญาว่าบริษัทกำลังมองหา Live Event ที่น่าสนใจ รวมถึงอีเวนต์ด้านกีฬาเพิ่มเติมให้แพลตฟอร์ม โดยย้ำชัดว่านี่คือทิศทางที่จะช่วยสร้างให้ Netflix เติบโตต่อไป

สำหรับ Netflix ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2540 เป็นบริการสตรีมมิ่งแบบบอกรับเป็นสมาชิก โดยสมาชิกสามารถดูซีรีส์และภาพยนตร์ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

สำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่เมืองลอสแกทัส รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีออฟฟิศในอีกหลายประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ บราซิล อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

เริ่มเปิดรับสมัครสมาชิกแบบเสียค่าบริการช่วงปีพ.ศ. 2542 ช่วงปีพ.ศ. 2552 มีดีวีดีให้เลือกเช่ายืมประมาณ 100,000 เรื่องและมีสมาชิกผู้เช่าและผู้รับบริการมากกว่า 10 ล้านราย

ปีพ.ศ. 2554 เปิดตัวบริการชื่อว่า Open Connect Appliance (Netflix OCA) โดยลักษณะเป็นบริการที่ผู้ให้บริการ ISP (Internet Service Provider) ที่เปิดให้เน็ตฟลิกซ์เช่า Server เพื่อทำ Cache สำหรับเก็บข้อมูลภาพยนตร์และซีรีส์ Netflix โดยใช้หลักการเช่นเดียวกับ CDN (Content Delivery Network) ทั่วไป

ปี พ.ศ. 2556 บริษัทเริ่มขยายธุรกิจสู่การผลิตภาพยนตร์ต้นฉบับ จนปีพ.ศ. 2559 ผลิตภาพยนตร์ซีรีส์และภาพยนตร์เรื่องยาวต้นฉบับกว่า 126 เรื่อง มากกว่าช่องโทรทัศน์และเคเบิลใด ๆ มีผลงานซีรีส์ของตัวเองเรื่องแรกคือ House of Cards เพียง 2 ปีแรก ที่ออกอากาศได้รับความนิยมและมีชื่อเข้าชิงรางวัลโทรทัศน์ Emmy Awards ด้วย

การเบนเข็มธุรกิจของ Netflix จากซีรีส์และภาพยนตร์ มาสู่ Live Event ทำให้ “วงการสตรีมมิ่ง” ขยายตัวมากยิ่งขึ้น

จากความสำเร็จของ Netflix หันกลับมาดู “สตรีมมิ่ง” สัญชาติไทย อย่าง MonoMax ที่ได้รับสิทธิ์ Live Event ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพอังกฤษ 3 ประเทศ (ไทย-ลาว-กัมพูชา) จากบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ด้วยเป้าหมายปีแรกสมาชิก 3 ล้านราย ดูไม่น่าไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะ..!?

Back to top button