OKJ รูดติดฟลอร์ เซ่นกำไร Q4 ต่ำคาด ฟากโบรกแนะ “ซื้อ” มอง Q1 ฟื้น จ่อรับปันผล 0.16 บ.
OKJ ร่วงติดฟลอร์หลังรายงานกำไรไตรมาส 4/67 เติบโตต่ำกว่าคาด เซ่นต้นทุนค่าใช้จ่ายการขายเพิ่มขึ้น 31% จากการเตรียมเปิดสาขาใหม่ ฟาก บล.กรุงศรี มองไตรมาส 1/68 ฟื้นตัวจากการรับรู้รายได้สาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ก.พ.68) ราคาหุ้น บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ ณ เวลา 14:42 น. ร่วงติดฟลอร์ โดยอยู่ที่ระดับ 11.00 บาท ลบ 4.60 บาท หรือ 29.49% สูงสุดที่ระดับ 12.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,011.31 ล้านบาท
สืบเนื่องมาจากผลการดำเนินงาน OKJ ไตรมาส 4/67 มีกำไรสุทธิ 39.30 ล้านบาท ลดลง 34.58% จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 60.08 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายการขายเพิ่มขึ้น 76.40 ล้านบาท หรือ 55.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 215 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราค่าใช้จ่ายในการขายต่อรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 31.10% จาก 27.80% ในปีก่อน เนื่องมาจากสาเหตุโครงสร้างค่าเช่าแบรนด์โอ้ จู๊ซ และโอ้กะจู๋ แรปแอนด์โรล รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การเปิดตัว Brand Admirer และเมนูใหม่ของแบรนด์โอ้ จู๊ซ.
บล.กรุงศรี ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง OKJ หลังรายงานกำไรไตรมาส 4/67 ออกมาต่ำกว่าที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงกว่าคาดการณ์ เนื่องมาจากการเปิดสาขาใหม่ส่งผลให้กำไรลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า
อยางไรก็ตาม การเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้นเป็นผลมาจากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1.รายได้เติบโต 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อนหน้า อยู่ที่ 697 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ ด้วยยอดขายที่เติบโตในทุกแบรนด์และการขยายสาขาจาก 33 สาขา ณ สิ้นปี 66 เป็น 57 สาขา
2.อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าที่คาดการณ์ อยู่ที่ 43.90% เทียบกับ 45.20% ในไตรมาส 3/67 และ 44.70% ในไตรมาส 4/67 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่สูงขึ้นจากการขยายไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายสูงกว่าที่คาดการณ์อยู่ที่ 37%
เนื่องจากการเปิดสาขาใหม่และค่าใช้จ่ายในการเปิดตัว Brand Admirer และเมนูใหม่ สำหรับผลประกอบการทั้งปี 67 มีกำไรสุทธิ 202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากโดยการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง ของยอดขายสาขาเดิม SSSG เพิ่มขึ้น 7.7% และการขยายสาขา
อย่างไรก็ตาม คาดแนวโน้มในไตรมาส 1/68 จะปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ของสาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ โดยเฉพาะ 18 สาขาที่เปิดในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว ซึ่งน่าจะสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะลดลงเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับ Brand Admirer ที่บันทึกในไตรมาส 4/67 โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงประมาณการกาไรปี 68-70 โดยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี จากคาดรายได้ที่เติบโต 19% ต่อปี จากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโต 5% และการเพิ่มจำนวนสาขา จาก 57 สาขาในปี 67 เป็น 84 สาขาในปี 70 รวมถึงคาดอัตรากำไรขั้นต้น 45.50%
สนับสนุนโดยสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากแบรนด์ที่มีอัตรากำไรสูง ทั้งนี้ เราประเมินว่าการเปลี่ยนแปลง 1% ในอัตรากำไรขั้นต้นและสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกำไร 8% ทั้งนี้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17.00 บาท
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 35% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยรายได้รวมอยู่ที่ 691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยการขยายสาขาเพิ่มเติมจากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 4/67 โอ๊กะจู๋ +4 สาขา, Oh! Juice +8 สาขา
ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 44% ลดลง 0.8 ppt เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1.3 ppt จากไตรมาสก่อนหน้า จากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่มากขึ้นในต่างจังหวัด ส่วนค่าใช้จ่าย SG&A อยู่ที่ 257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อนหน้า จากค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขานอก กทม. และค่าใช้จ่ายการตลาดเปิดตัว Brand Admirer เป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการให้ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 4/67
ด้านผลประกอบการปี 67 กำไรสุทธิอยู่ที่ 202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนต่ำกว่าประมาณการของทางฝ่ายวิจัยลดลง 12% แม้รายได้รวมใกล้เคียงประมาณการของเราแต่ปัจจัยหลักกดดันมาจากค่าใช้จ่ายในการพัฒนาธุรกิจโดยเฉพาะในไตรมาส 4/67 เปิดตัว Brand Admirer แม้อาจเป็นค่าใช้จ่าย one time แต่ปัจจัยที่กังวลคือ GPM ในไตรมาส 4/67 ที่ลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่มากขึ้นในต่างจังหวัดอาจทำให้ GPM ขยายตัวได้ช้ากว่าที่เคยประเมินรวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่อาจกระทบยอดขายโดยรวม
โดยเริ่มมีสัญญาณที่ต้องระวังหลังยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 4/67 ลดลง 1.8% จึงปรับประมาณการปี 67-68 ลง เพื่อสะท้อนสมมติฐานที่รักษากำไรมากขึ้น แม้ปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” ราคาเป้าหมายลงเป็น 12.00 บาท จากเดิม 15.00 บาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการมีมติจ่ายเงินปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 67 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.67 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 19 ก.พ.68 และกำหนดจ่ายปันผล 25 เม.ย.68