TOP สรุปผู้รับเหมาไตรมาส 3/68 ชงผู้ถือหุ้น 21 ก.พ.นี้ ไฟเขียวงบเพิ่ม 6.3 หมื่นล้าน

“ไทยออยล์” ยังไม่ตัดสินใจเปลี่ยนผู้รับเหมาหลักโครงการ CFP คาดไตรมาส 3/68 ชัดเจน พร้อมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น อนุมัติงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่ม 6.3 หมื่นล้านบาท หวังก่อสร้างเสร็จตามแผนไตรมาส 3/71


แหล่งข่าวจากวงการพลังงานเปิดเผยว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP หลังจากที่บริษัทได้หลักประกันภายใต้สัญญาจ้างเหมาทำของ การออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC Contract) ระหว่างบริษัท และ The Consortium of PSS Netheriands B.V. (Offshore Contractor) an unincorporated joint venture of Samsung E&A (Thailand) Co.. Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. U aะ Saipem Singapore Pte. Lid. (Omshore Contractor) ตาม/สัญญาฯ เป็นจำนวนเงินประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทนั้น เงินดังกล่าวจะบันทึกเป็นรายได้ เพื่อช่วยลดต้นทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP)

ทั้งนี้ การพิจารณาผู้รับเหมาหลัก เพื่อดำเนินโครงการ CFP ปัจจุบันศึกษาไว้หลายแนวทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งตามสัญญาเดิมผู้รับเหมาต้องทำให้เสร็จ แต่เมื่อโครงการอาจไม่เสร็จตามแผนก็ต้องหาแนวทางใหม่ ส่วนจะตัดสินใจเปลี่ยนผู้รับเหมาหลักหรือไม่นั้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2568 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ผู้รับเหมาหลักฯ จะฟ้องอนุญาโตตุลาการในกรณีดังกล่าวนั้น ไทยออยล์มองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ผ่านมาไทยออยล์ดำเนินการทุกอย่างตามสัญญา

อย่างไรก็ตาม ไทยออยล์จำเป็นต้องพิจารณาทีละขั้นตอน (step) โดยขั้นตอนแรกต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 ก.พ.นี้ก่อน เพื่อขออนุมัติงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการ CFP ประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการดําเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนในช่วงไตรมาส 3/2571

ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ในปีนี้ มองว่ายังทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่บริษัทเดินเครื่องจักรตามปกติ แม้ว่าตลาดปิโตรเคมีจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่โรงงานอะโรเมติกส์ยังทำกำไรอยู่ ส่วนธุรกิจที่ยังไม่ดีคือธุรกิจโอเลฟินส์ ซึ่งไทยออยล์ได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP)  ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรชั้นนำรายใหญ่ที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย ในสัดส่วนการถือหุ้น 15% ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า TOP ได้เรียกร้องสิทธิตามหนังสือค้ำประกันภายใต้สัญญาจ้างเหมางานก่อสร้างรูปแบบ EPC ซึ่งคาดว่าหนังสือค้ำประกันจะมีมูลค่าประมาณ 10% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดที่ 4.8 -5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.6–1.8 แสนล้านบาท (ครั้งนี้ได้รับ 358 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2 หมื่นล้านบาท) โดยจำนวนเงินส่วนที่เหลือเป็นปัจจัยต้องติดตามต่อไป

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต้องติดตามคือ ผลการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ พิจารณาอนุมัติเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP (ออกเสียงอนุมัติมากกว่า 50%) เพื่อให้การก่อสร้างเดินหน้าต่อจนแล้วเสร็จ ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ เก็งกำไร (TRADING) สำหรับ TOP ราคาเหมาะสม 35 บาทต่อหุ้น

Back to top button