LPN ตั้งเป้า Q1/59 ยอดขาย 3-4 พันลบ.เดือนแรกทำได้แล้วกว่า 500 ลบ.

LPN ตั้งเป้า Q1/59 ยอดขาย 3-4 พันลบ.เดือนแรกทำได้แล้วกว่า 500 ลบ.


นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขาย(พรีเซล)ในไตรมาส 1/59 ไว้ที่ 3-4 พันล้านบาท จากเป้ายอดขายทั้งปีที่ 1.76 หมื่นล้านบาท โดยในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาบริษัททำยอดพรีเซลได้แล้วกว่า 500 ล้านบาท ใกล้เคียงกับเดือน ม.ค.58 ซึ่งในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ คือ โครงการลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก มูลค่าโครงการ 1.3 พันล้านบาท และในไตรมาส 1/59 ยังเหลือเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการต่อขายจากโครงการเดิม คือ โครงการลุมพินี ทาวน์ชิพ รังสิต คลอง 1 มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท

ด้านรายได้ ครี่งปีแรกบริษัทมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 1.2 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 1.76 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกบริษัทมีการโอนคอนโดเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย. 59) ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ทำให้เกิดการเร่งโอนโครงการมากขึ้น

ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีจำนวนโครงการที่มีกำหนดส่งมอบจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการลุมพินี พาร์ค นวมิทร์-ศรีบูรพา และโครงการลุมพินี คอนดดทาวน์ สถานีศรีนครินทร์-หัวมาก ที่มีกำหนดโอนในไตรมาส 1/59 ส่วนในไตรมาส 2/59 จะมีการดอน 4 โครงการ คือ โครงการลุมพินี 24 โครงการลุมพินี ทาวน์ชิพ รังสิต คลอง 1 เฟส 2 โครงการลุมพินี พาร์ค บีช ชะอำก และโครงการลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 เฟส 1 ทั้งนี้บริษัท่มีมุลค่ายอดขายรอโอนในปัจจุบันอยู่ที่ 1.22 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในปีนี้ 1.19 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือราว 300 ล้านบาท จะโอนในปี 60

นายโอภาส กล่าวว่า แนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้ยังเป็นขาลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบมาถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงและการตัดสินใจซื้อชะลอตาม ประกอบกับ กำลังซื้อยังถูกกดดันจากรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้นและยังมีระดับหนี้สินภาคครัวเรือนสูง มีผลไปถึงการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่มองว่าในปีนี้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นอจากปีก่อนที่อยู่ที่ 6-7% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่กดดันภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้

สำหรับอัตรากำไรสุมธิในปีนี้บริษัทคาดว่าจะรักษาไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 14.47% เป็นผลมาจากการการที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 30% จากการที่บริษัทปรับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการใหม่ที่มีขนาดและมูลค่าโครงการเล็กลง ซึ่งให้อัตรากำไรไม่สูงมากนัก เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และเพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายของบริษัทสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น โดยราคาต่อยูนิตที่บริษัทพัฒนาในปัจจุบันจะอยู่ในช่วง 700,000-1,500,000 บาท/ยูนิต จากเดิมที่อาจจะมีบางโครงการราคาขายต่อยุนิตเกิน 2 ล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์ใหม่นี้ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรสุทธิและอัตรากำไรขั้นต้นส่วนหนึ่ง แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริษัท (SG&A) จะยังอยู่ในระดับเท่าเดิมที่ 2.07 พันล้านบาท/ปี

Back to top button