![](https://media.kaohoon.com/wp-content/uploads/2024/05/SFLEX30-04-24-A_0.jpg)
โบรกแนะ “ซื้อ” SFLEX ลุ้นกำไร Q4/67 โตเด่น รับรายได้เพิ่ม-คุมค่าใช้จ่ายดี
“บล.ดาโอ” แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SFLEX ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท มองกำไรไตรมาส 4/67 เติบโตโดดเด่น จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามออเดอร์ รวมถึงการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX พร้อมประเมินว่าในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทจะมีกำไรสุทธิที่โดดเด่นต่อเนื่องที่ 75 ล้านบาท (+70% จากปีก่อนและทรงตัวจากไตรมาสก่อน) ซึ่งดีกว่าประเมินก่อนหน้านี้ที่ 62 ล้านบาท
โดยปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นคือ 1) รายได้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 481 ล้านบาท (โต 10% จากปีก่อน, โต 1% จากไตรมาสก่อน) ซึ่งยังคงเติบโตต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มซองพร้อมจุก ซึ่ง SFLEX ได้ขยายกำลังการผลิตเครื่องทำจุกเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับผลประโยชน์จากการซื้อน้ำยาทำความสะอาดหลังน้ำท่วม
2) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่ 25.8% (ไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 25.3%, ไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 26.1%) เนื่องจากยังคงได้รับ ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง, 3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) คาดว่าจะอยู่ที่ 48 ล้านบาท (ลดลง 24% จากปีก่อน, ลดลง 12% จากไตรมาสก่อน) ซึ่งดีกว่าการประเมินก่อนหน้าที่จะใกล้เคียงกับปีก่อนจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น, และ 4) ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่ 5-7 ล้านบาท ซึ่งดีขึ้นจากปีก่อนที่มีการขาดทุนเล็กน้อย แม้จะลดลงจากไตรมาส 3/67 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลสูงของ SPV ที่เวียดนาม
พร้อมกันนี้ มีการปรับประมาณการกำไรปี 67 ขึ้น 5% เป็น 280 ล้านบาท (โต 52% จากปีก่อน) จากแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4 ปี 67 ที่จะดีขึ้นจากการประเมินก่อนหน้า และยังคงประมาณการกำไรปี 68 ที่ 303 ล้านบาท (โต 8% จากปีก่อน) โดยคาดว่า 1) รายได้จะเติบโตเป็น 2.0 พันล้านบาท (โต 7% จากปีก่อน) ซึ่งจะดีขึ้นทั้งจากธุรกิจเดิมและการขยายกำลังการผลิตเครื่องทำจุกเพิ่มอีกอย่างน้อย 2 เครื่อง
รวมถึงได้รับอานิสงส์จากลูกค้าที่ขยายกำลังการผลิต ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อซองบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น, 2) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดว่าจะทรงตัวสูงที่ 25.1% ใกล้เคียงกับปี 67 และ 3) ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก SPV ที่เวียดนามและ Star Union ที่จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/68 หลังจากเริ่มดำเนินงานการผลิตในไตรมาส 1/68
อย่างไรก็ตาม ยังคงราคาเป้าหมายที่ 4.80 บาท โดยอิงจาก PER ปี 68 ที่ 13 เท่า (-1.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี โดยไม่รวมปี 65 ที่มีกำไรสูงกว่าปกติ) โดยมีปัจจัยกระตุ้น (catalyst) จากการเติบโตของกำไรในปี 67-69 ที่จะโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบฟิลม์ยังมีแนวโน้มทรงตัวต่ำตามราคาสินค้าเคมีภัณฑ์