KLINIQ บวก 4% ลุ้นกำไรปี 67 ทะลุ 300 ล้านบาท รับรายได้บริการ-ยอดขายสาขาเดิมพุ่ง

KLINIQ บวก 4% โบรกมองกำไรปี 67 เติบโต 10% แตะ 300 ล้านบาท รับอานิสงส์รายได้บริการลูกค้าสาขาใหม่ และยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น โบรกแนะนำ “ซื้อ” เป้าราคาหมาย 36 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (14 ก.พ.68) ราคาหุ้น บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ณ เวลา 10:30 น. อยู่ที่ระดับ 28.25 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 3.67% สูงสุดที่ระดับ 28.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 27.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.55 ล้านบาท

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2567 จะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาพรวมงบทั้งปี 2567 เติบโตโดดเด่นจากปี 2566 โดยการเติบโตสอดคล้องกับนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเข้าใช้บริการของคนไข้จะมากขึ้นตามการขยายสาขาใหม่ และการให้บริการของสาขาเดิม (SSSG) ที่เติบโต สอดคล้องกับตัวเลขการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่ออนุมัติ และประกาศงบปี 2567 ประมาณวันที่ 27 หรือ 28 กุมภาพันธ์ 2568 นี้

สำหรับปี 2567 บริษัทมีการเปิดให้บริการสาขาใหม่มากเป็นพิเศษรวมกว่า 20 สาขา เนื่องจากได้ทำเลที่มีศักยภาพ ส่งผลให้สิ้นปี 2567 มีสาขาให้บริการทุกแบรนด์ ได้แก่ THE KLINIQUE, L.A.B.X, THE KLINIQUE SURGERY CENTER, L’CLINIC  และ KLINIQ WELLNESS SPA รวม 75 สาขา จากสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 55 สาขา

ขณะที่ แผนการดำเนินธุรกิจของปี 2568 บริษัทจะผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตในทุกไตรมาส เนื่องจากการรับรายได้ของสาขาใหม่ที่เปิดปี 2567 เข้ามาเต็มปี และไม่มีต้นทุนการเปิดสาขาใหม่ หรือต้นทุนเกี่ยวข้องสูงมากเท่าปีก่อน เนื่องจากมีแผนเปิดให้บริการสาขาใหม่เฉลี่ยตามปกติ 10 สาขาต่อปี กระจายทุก ๆ แบรนด์ และเน้นออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น ขอนแก่น เป็นต้น

นายแพทย์อภิรุจ กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาท จากปี 2567 คาดอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท และบริหารจัดการอัตรากำไรสุทธิให้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นไปตามการขยายสาขาใหม่ และยอดขายจากสาขาเดิมที่เติบโต ตามการเข้าใช้บริการของคนไทยที่ยังหนาแน่น และชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว รวมถึงการพยายามรุกตลาดเพิ่มเติมจากลูกค้าเมียนมา และกัมพูชา

“ภาพรวมอุตสาหกรรมความงามทั่วโลกยังขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนตลาดไทย KLINIQ ยังคงความเป็นผู้นำตลาด และยังสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่นเหนือคู่แข่งที่มีทั้งขยายตัวได้บ้าง และลดลงบ้าง ส่วนเรื่องค่าเสื่อมราคาเครื่องมือแพทย์จะค่อนข้างต่างจากคลินิกทั่วไป เนื่องจากเราใช้เครื่องมือการแพทย์คุณภาพเดียวกับที่โรงพยาบาลใช้ ขณะที่ความคืบหน้าโรงพยาบาลศัลยกรรม มีการเจรจาเช่าพื้นที่กับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่อยู่ติดแนวเส้นรถไฟฟ้า ซึ่งจะเน้นเรื่อง Operating Room (ห้องผ่าตัด) เป็นหลัก หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบต่อไป” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว

ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท หลังคาดไตรมาส 4/2567 จะมีรายได้ 823 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ กำไรไตรมาส 4/2567 เริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ดี โดยดีกว่ากำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหนุนมาจากยอดขายของสาขาเดิม (SSSG) ที่คาดเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากลูกค้าที่มีการจับจ่ายสูงขึ้น และแนวโน้มการใช้จ่ายที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี อีกทั้งได้รับผลดีจากไตรมาส 1/2568 ที่เปิดทำการทุกวัน (ในไตรมาส 4 มีวันหยุดเทศกาลที่ทำให้การใช้บริการลดลง) ขณะที่บริษัทมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ดี โดยเฉพาะแบรนด์ L.A.B.X (ที่เน้นตลาดแมส) ที่มีการเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมีการขยายกำลังให้บริการมากขึ้น ส่งผลให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นตามที่ระบุข้างต้น

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) คาดว่าจะลดลงจากต้นทุนบุคลากรที่สูงขึ้น เนื่องจากการเปิดสาขาใหม่และการขยายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่คาดว่าจะลดลงจากการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ทำให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 11.6% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 51.5% ทั้งนี้หลายองค์ประกอบเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หากกำไรไตรมาส 4/2567 สามารถทำได้ตามคาดการณ์ โดยภาพรวมปี 2567คาดว่ากำไรสุทธิอยู่ที่ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2566 อยู่ที่ 289 ล้านบาท และฐานรายได้รวมอยู่ที่ 2,938 ล้านบาท เติบโต 29% จากปี 2566 อยู่ที่ 2,285 ล้านบาท ตามปัจจัยหนุนจากการขยายสาขาและอัตราการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น

โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 425 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากสาขาใหม่ที่เปิดตัวในปี 2567 จะรับรู้เต็มปีในปี 2568 และเริ่มเห็นแนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ การเปิดโรงพยาบาลศัลยกรรมของบริษัท จะช่วยให้เกิด Upside เพิ่มเติม และหนุนให้เป็นหุ้นลงทุนได้ในระยะยาว

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเป้าหมายอยู่ที่ 34 บาท โดยพิจารณาบนฐานอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ปี 2568 ที่ 20 เท่า จากเดิม 38 บาท ที่ใช้อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ปี 2567 ที่ 27 เท่า เนื่องจากมีการปรับลด P/E ลง เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศที่ต่ำกว่าคาดการณ์

โดยคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% จาก 78 ล้านบาท และ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 27% จาก 74 ล้านบาท ด้วยฐานรายได้รวม 795 ล้านบาท เพิ่มขึ้นช่วงเดียวกันของปีก่อน 23% จาก 645 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 6% จาก 750 ล้านบาท สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ตามปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ 1. ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เพิ่มขึ้น 13% และการขยายสาขาเพิ่มเติมในไตรมาส 4/2567 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 72 สาขา เพิ่มขึ้นจาก 55 สาขาในไตรมาส 4/2566 และจาก 69 สาขาในไตรมาส 3/2567

และ 2. อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาสก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้น จากสาขาใหม่ที่เปิดดำเนินการในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้

นอกจากนี้ ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 3% เพื่อสะท้อนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2567 ที่ดีกว่าคาดการณ์เดิม โดยได้มีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ลง 3% เพื่อสะท้อนกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 317 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% ที่ 289 ล้านบาท ด้วยฐานรายได้รวม 2,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28% ที่ 2,285 ล้านบาท ซึ่งหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในทุกประเภทของสินค้า และการขยายสาขาอีก 10 สาขา และ  2. อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสาขาใหม่ที่เปิดดำเนินการในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้

Back to top button