SELIC จากยุคฟื้นตัวสู่ยุคปรับตัว

กำไรสุทธิที่สูงขึ้นเป็นพิเศษในไตรมาสสิ้นปี 2567 ของ บมจ.ซีลิค คอร์พ หรือ SELIC ทำให้ราคาหุ้นออกมายืนเหนือ 3.10 บาทอีกครั้งหนึ่ง


กำไรสุทธิที่สูงขึ้นเป็นพิเศษในไตรมาสสิ้นปี 2567 ของบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ทำให้ราคาหุ้นออกมายืนเหนือ 3.10 บาทอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าแปลกประหลาดสำหรับหุ้นที่เน้นการขยายตัวโดยทางลัด (INORGANIC GROWTH) ที่ประสบความสำเร็จเกินคาด

หลังจากการจ่ายปันผลของปีนี้ที่เพิ่งประกาศว่าจะจ่ายปันผลเป็นเงินสดในราคาหุ้นละ 0.03273 บาท ถือว่าเป็นอัตราปันผลที่ดีที่สุดเท่าที่บริษัทเคยจ่ายมา นับว่าเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การขยายกิจการที่ผลิดอกออกผลงดงาม

SELIC เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะผู้ผลิตกาวอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทย ตอนนั้นราคาหุ้นในตลาดยังไม่หวือหวาจนกระทั่งเมื่อสองปีที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เข้าเทกโอเวอร์บริษัทผลิตกาวแบบ B2C ที่ช่วยให้บริษัทมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดทั้งรายได้และกำไร กลายเป็นหุ้นแม่เหล็กที่นักลงทุนชื่นชอบในปีที่ผ่านมา และได้เข้าเทกโอเวอร์บริษัทใหม่และแยกตัวออกไป (spin off ) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้นอีกบริษัทหนึ่งคือบริษัทย่อย บมจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) ซึ่งเป็นที่มาของการเติบโตกำไรสุทธิที่โดดเด่นในปี 2567 ของ SELIC

หลังจากโชว์ตัวเลขกำไรสุทธิสุดสวยในไตรมาสแรกของปี 2567 ด้วยกำไรที่พุ่งปรี๊ด 563.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและโตขึ้น 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

การเติบโตด้วยกลยุทธ์ขยายกิจการจากธุรกิจเดิมในการทำกาวอุตสาหกรรมซึ่งเป็นธุรกิจแบบ B2B ไปสู่ธุรกิจสติ๊กเกอร์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ซึ่งเป็นแบบ B2C ที่ให้กำไรสูงกว่าและสม่ำเสมอกว่าที่ผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็วภายใต้การบริหารงานที่นำโดยนายเอก สุวัฒนพิมพ์และน้อง ๆ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล

จากผลพวงของการขยายสู่ธุรกิจที่ไม่ถนัดแต่มีกำไรสูงจากธุรกิจสติ๊กเกอร์-Health Care ช่วยดันมาร์จิ้น

เมื่อแรกเข้ามาในตลาดหุ้นเมื่อ 7 ปีก่อน ราคาหุ้นของ SELIC ไม่เคยสูงเกิน 2.70 บาท เป็นอย่างนี้มายาวนานและถูกมองข้ามจากนักวิเคราะห์เสมอ  ในฐานะที่เป็นหุ้นที่มีราคาสูงเกินจริงทั้ง ๆ ที่เป็นบริษัทที่ทำกำไรมาตลอด เนื่องจากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมเป็นธุรกิจที่มีผู้แข่งขันน้อยราย แต่เมื่อ 4 ปีก่อน คณะผู้บริหารบริษัทได้ตัดสินใจว่าจะใช้ความกล้าหาญโดยใช้ Inorganic Growth มาเร่งการเติบโตของธุรกิจโดยเข้าเทกโอเวอร์บริษัททำสติ๊กเกอร์ที่เคยเป็นลูกค้าของธุรกิจกาวอุตสาหกรรมของบริษัทตนเอง และเข้าสู่ธุรกิจแบบ B2C ซึ่งปรากฏว่าธุรกิจนี้ทำกำไรแบบก้าวกระโดดให้กับ SELIC จนกระะทั่งราคาหุ้นก้าวไปที่ 5 บาท ก่อนจะถอยลงมา ทำให้เมื่อ 2 ปีก่อน SELIC ได้ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจ Health Care ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ถนัดเลยทำให้ราคาหุ้นร่วงลงมาจนต่ำสุดที่ 2.20 บาท ก่อนที่ล่าสุดผลประกอบการของบริษัทจะออกมายืนยันถึงความสำเร็จของการเข้าสู่ธุรกิจที่ไม่ถนัดนี้

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button