WHAUP โชว์กำไรปี 67 แตะ 1.12 พันล้าน เคาะปันผล 0.1925 บ. ขึ้น XD 29 เม.ย.นี้

WHAUP โชว์งบปี 67 กำไรปกติแตะ 1,118 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวปันผล 0.1925 บาทต่อหุ้น จ่อ XD วันที่ 29 เม.ย.นี้ จ่าย16 พ.ค.68 พร้อมลุยนำนวัตกรรม AI ขับเคลื่อนธุรกิจสร้างโอกาสเติบโตยั่งยืน


นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า บริษัทฯ แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2567 โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 3,959 ล้านบาท ลดลง 6% มีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 1,118 ล้านบาท ลดลง 30% และมีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 1,119 ล้านบาท ลดลง 31% จากปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจจำหน่ายน้ำและไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนามยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 531% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับปัจจัยลบจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่ลดลงจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

สำหรับภาพรวมธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ทั้งในประเทศและต่างประเทศในปี 2567 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกันเท่ากับ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยในส่วนของการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำในประเทศมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added product) จากปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าใหม่

ส่วนธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 37 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 10% ปัจจัยหลักมาจากปริมาณยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่การให้บริการ ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Duong River ในปี 2567 จำนวน 77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน จำนวน 8 ล้านบาท ในปี 2566

สำหรับในปี 2568 บริษัทฯตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 4% จากปีก่อนหน้า พร้อมมุ่งเน้นสร้างรายได้จากการเติบโตของความต้องการสาธารณูปโภคทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้ากลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Data Center ที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูง รวมถึงมุ่งเน้นในการขยายการผลิตในส่วนของผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในเชิงคุณภาพและ sustainability ควบคู่กับการพัฒนา Smart Water Solutions ด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาใช้พัฒนาระบบบริหารจัดการด้านสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และลดการสูญเสียน้ำ

ด้านธุรกิจพลังงาน ในส่วนของธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในปี ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ Solar Rooftop เพิ่มจำนวน 76 สัญญา จำนวนรวมประมาณ 106 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสมทั้งสิ้น 290 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภท อยู่ที่ 965 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้ว 701 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาจำนวน 264 เมกะวัตต์

ในส่วนของส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าในปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจำนวน 914 ล้านบาท ลดลง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ลดลงจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากการกลับมาเดินเครื่องตามคำสั่งของ EGAT  ซึ่งไม่สอดคล้องกับการบันทึกรายได้ แม้ว่าบริษัทฯ จะมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลงเมื่อเทียบกับปี 2566 ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้กำไรจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ และทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย โดย บริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนต่างๆในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เพื่อต่อยอดธุรกิจพลังงาน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้นำ AI มาพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เช่น ระบบ Solar Anomaly ที่สามารถตรวจจับและแจ้งเตือนโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติของแผงโซลาร์ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้สามารถบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และระบบ Solar Forecasting ซึ่งช่วยคาดการณ์ปริมาณการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยในการวางแผนซ่อมบำรุงรวมถึงลดต้นทุน และเพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้า

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer (P2P Energy Trading) รวมถึงการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) ซึ่งช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร รวมถึงบริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานแห่งอนาคต อาทิเช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS)

นอกจากนี้ จากแผนการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมทั้งในนิคมและนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ส่งผลให้ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเพิ่มเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน 657 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจากแผนการขับเคลื่อนธุรกิจทั้งทางด้านธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และธุรกิจพลังงาน (ไฟฟ้า) ส่งผลให้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2568-2572) ที่ 35,000 ล้านบาท และยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA margin ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนรวมภายใน 5 ปีข้างหน้าไว้ที่ 29,000 ล้านบาท

จากผลการดำเนินงานในปี 2567 ที่ผ่านมา ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตรารวม 0.2525 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อหักการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด 9 เดือนแรกปี 2567 ในอัตรา 0.0600 บาทต่อหุ้นที่บริษัทฯ ได้จ่ายไปแล้ว คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติมอีกในอัตรา 0.1925 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 29 เมษายน 2568 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสะท้อนศักยภาพความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินที่มั่นคงและการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของบริษัทฯ

นายสมเกียรติ กล่าวปิดท้ายว่า ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ส่งผลให้ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลการประเมิน SET ESG Rating ที่ระดับ AAA  ซึ่งเป็นเรตติ้งระดับสูงสุด เป็นปีที่สองติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องแผนการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว

Back to top button