
“บล.กรุงศรี” มอง SET สัปดาห์นี้ “ฟื้นตัว” จับตากนง. ลดดอกเบี้ย แนะลงทุน 3 หุ้นเด่น
บล.กรุงศรี ประเมินตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว จับตาประชุมกนง. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.0% ขณะที่หุ้น Big Cap ฟื้นตัว พร้อมแนะลงุทน BA-CPALL-MTC รับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง กำไรไตรมาส 4/67 แกร่ง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 24-28 ก.พ.68 ซึ่งเป็นบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ประเมินตลาดหุ้นไทย “ฟื้นตัว” โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีโอกาส 70% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.0% หากเกิดขึ้น คาดว่าจะช่วยหนุนดัชนี SET ประมาณ 40 จุด
อย่างไรก็ดีหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) หลายตัวที่เคยถูกกดดันจากปัจจัยเฉพาะตัวชั่วคราว เริ่มกลับเข้าสู่โซนที่น่าลงทุนระยะกลางถึงยาว เช่น GULF, INTUCH, AOT, CPALL, CPAXT, BH, BDMS และ MINT ซึ่งคาดว่าจะผันผวนในช่วงปลายก่อนทยอยฟื้นตัว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2567 หุ้นกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจภายในประเทศส่วนใหญ่คาดว่าจะรายงานผลออกมา “กลางถึงบวกเล็กน้อย” โดยหุ้นที่ได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ กลุ่มเช่าซื้ออย่าง MTC กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น AP, SIRI, SC กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงอย่าง ADVANC และกลุ่มที่มีภาระหนี้สูงอย่าง MINT, CPALL, CPAXT, BA และ AAV
ดังนั้น หุ้นเด่นที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ BA ซึ่งคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะพลิกเป็นกำไรจากปีก่อนหน้าและมีโอกาสได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ย CPALL ที่คาดว่ากำไรไตรมาส 4/2567 จะเติบโต 16% จากปีก่อน และ 14% จากไตรมาสก่อนหน้า รวมถึง MTC ที่จะได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
อีกทั้งผลตอบแทนของหุ้นแนะนำในสัปดาห์ก่อน ได้แก่ TRUE, MTC และ BA ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.44% ขณะที่ดัชนีตลาดให้ผลตอบแทน -2.04%
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ที่จะประกาศวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5% YoY และ 0.4% MoM รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ คาดว่าจะอยู่ที่ 103.5 จุด ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ยังต้องจับตาผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ของหุ้นกลุ่มโรงแรม อสังหา และสุขภาพ เช่น ERW, AAV, CENTEL, CPALL, SPALI, AWC, BDMS, SAWAD, LH, CPF, OSP, BH, IVL, BA, AP, BCH และ CHG
อีกปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดคือการปรับสมดุลดัชนี MSCI ที่จะมีผลในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งคาดว่าจะมีเงินทุนไหลออกสุทธิประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ โดยหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี ได้แก่ TOP (-60 ล้านดอลลาร์) และ PTTGC (-50 ล้านดอลลาร์)
สำหรับแนวโน้มกำไรตลาดปี 2567 ตามข้อมูลจาก Bloomberg Consensus อยู่ที่ 84.5 บาทต่อหุ้น ลดลงจากสัปดาห์ก่อน ส่วนปี 2568 คาดการณ์ที่ 95.4 บาทต่อหุ้น โดยกลุ่มที่กดดันตลาดคือปิโตรเคมีและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่กลุ่มที่เป็นปัจจัยหนุน ได้แก่ กลุ่มรับเหมาและโรงแรม
ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์ที่แล้วเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) มีเงินไหลออกสุทธิ 758 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยมีเงินทุนไหลออก 107.3 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นการขายพันธบัตร 171.4 ล้านดอลลาร์ และซื้อหุ้นสุทธิ 64.1 ล้านดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าทรงตัวที่ระดับ 33.6 บาทต่อดอลลาร์