
MOSHI โชว์กำไรปี 67 เติบโต 28% แตะ 520 ล้านบาท อานิสงส์รายได้สาขาใหม่พุ่ง
MOSHI รายงานกำไรปี 67 เติบโต 28% แตะ 520 ล้านบาท หลังรับรู้รายได้จากสาขาใหม่เพิ่มขึ้น ผนวกกับการสาขาเดิมหนุน
บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 67 สิ้นสุด 31 ธ.ค.67 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
บริษัทรายงานกำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 520.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 408.23 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก รายได้จากการดำเนินงานปี 67 อยู่ที่ 3,111.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 581.75 ล้านบาท หรือ 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสาขาใหม่จำนวน 34 สาขา (รวมสาขา Standalone ใกล้มหาวิทยาลัย 5 สาขา) และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) คิดเป็น 3.85% โดยกลุ่มสินค้าที่เติบโตโดดเด่น ได้แก่ ของใช้ในบ้าน, อุปกรณ์เสริมความงาม, สินค้าแฟชั่น, กล่องสุ่ม และ ของเล่น
อีกทั้ง ยังมีสินค้าลิขสิทธิ์หลากหลายคอลเลกชันใหญ่อย่าง Snoopy, Sanrio Characters และ Disney รวมถึงการคอลแลปคาแรคเตอร์ศิลปิน K-POP และคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนต่างๆอีก มากมาย ส่งผลให้มีลูกค้าเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนรายได้จากการดำเนินงานมาจากธุรกิจค้าปลีกคิดเป็น 82.20% ธุรกิจค้าส่ง คิดเป็น 15.60% ช่องทาง Online และอื่นๆ คิดเป็น 1.80% และกิจการร่วมค้าฯ คิดเป็น 0.40% ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงาน ปี 67 รวมรายได้จากกิจการร่วมค้าฯ จำนวน 11.57 ล้านบาท
โดย ณ สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 67 มีสารวมทั้งสิ้น 164 สาขา ประกอบด้วยร้าน Moshi Moshi จำนวน 159 สาขา ร้าน Gartic จำนวน 3 สาชา ร้าน Giant จำนวน 1 สาขา และร้าน OK Station จำนวน 1 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ 62 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยในปี2567 บริษัทฯ ไม่มีการขยายสาขาค้าส่ง และ ร้านสาชา Garic
นอกจากนี้ การเติบโตของกำไรดังกล่าวยังมาจาก รายได้จากทุกช่องทาง ทั้งจากอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (555G) การเปิดสาชาใหม่ การนำเสนอผลิตภัตฑ์ที่หลากหลาย มีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีสินค้าลิขสิทธิ์หลากหลายคอลเลกชันใหญ่อย่าง Snoopy, Sanrio Characters, Disney รวมถึงการคอลแลปกับคาแรคเตอร์ศิลปิน K-POP ศิลปินนักวาดชาวไทย และคาแรคเตอร์ตัวสาร์ตนต่างๆอีกมากมาย ส่งผลให้มีลกค้าใช้บริการ
ขณะที่ แนวโน้มธุรกิจค้าปลีก ปี 68 และการแข่งขันของอุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไดล์ มีแนวโน้มเติบโตจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล
รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนโควิด-19 โดยอยู่ที่ประมาณ 39 ล้านคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายของห้างสรรพสินค้าในเมืองท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกยังเผชิญความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคต้นทุนดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าพลังงาน อัตราดอกเบี้ย และค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนี้ ตลาดค้าปลีกมีการแข่งขันสูงเนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากและการเข้าสู่ตลาดทำได้ง่าย
สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่ สินค้าจำเป็น เช่น สินค้าบริโภคในชีวิตประจำวัน ขณะที่สินค้าพุ่มเฟือย เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และของตกแต่งบ้าน อาจเผชิญภาวะชะลอตัว นอกจากนี้ สินค้าบางกลุ่มยังได้รับแรงกดดันจากสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นในตลาดไทยโดยรวมแล้ว แม้ธุรกิจค้าปลีกจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากกำลังซื้อที่เปราะบางและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น