
BGRIM กางแผนปี 68-69 เปิด “7 โรงไฟฟ้าใหม่” 605 MW พ่วงบอร์ดปรับนโบายปันผล 50%
BGRIM กางแผนปี 68-69 เดินหน้าเปิดโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ 7 แห่ง กำลังผลิตรวม 605 เมกะวัตต์ หลังปี 67 เขยายพอร์ต “พลังงานหมุนเวียน” แตะ 1.3 พันเมกะวัตต์ พร้อมอนุมัติปรับนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,227 ล้านบาท เติบโต 5.8% และ EBITDA ที่ 14,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นกำไรที่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และรายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ จะอยู่ที่ 1,557 ล้านบาท
โดยการเติบโต ดังกล่าว มาจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น 10.8% จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้า SPP 3 โครงการ ในเดือนมีนาคม, ตุลาคม และธันวาคม 2566 รวมกำลังผลิต 420 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากราคาเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 14.2% และปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนามเติบโตขึ้น 6.4% เทียบจากปีก่อน รวมถึงรายได้การให้บริการที่สูงขึ้นจากการพัฒนาโครงการ และปริมาณขายไอน้ำในประเทศไทยที่เติบโตขึ้น 19.1% เทียบจากปี 2566 ตามการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ตลอดปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีความมุ่งมั่นในการขยายพอร์ตด้านพลังงานหมุนเวียน ด้วยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศ โดยได้ขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนรวม 1,345 เมกะวัตต์ (Committed) ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง จำนวน 740 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐเกาหลี, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา 33.7 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน, โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 29.9 เมกะวัตต์ในประเทศสหรัฐอเมริกา, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
รวมถึง โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กำลังผลิตติดตั้งรวม 476.3 เมกะวัตต์ในประเทศไทย (รวมโครงการที่ได้รับการคัดเลือกภายใต้โครงการพลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล)
นอกจากนี้ ได้เข้าลงทุนใน Nemaroo Bimbi Wind Farm Pty. Ltd. ในประเทศออสเตรเลีย และ LT09 S.r.I. ในสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน รวมถึงได้ร่วมมือกับกรีนเนอร์ยี่ และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เพื่อพัฒนาพลังงานหมุนเวียนด้วยเช่นกัน
ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 4/2567 บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้าน อาทิ การได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับรัฐบาลตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ขนาดโครงการรวม 60.90 เมกะวัตต์ โดยกำหนดเปิด COD ช่วงปี 2571-2573 นอกจากนี้ บริษัท บี.กริม โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟท็อป จำกัด (บริษัทย่อย) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังได้ลงนามในสัญญาจ้างงานตามโครงการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ กำลังติดตั้ง 10.26 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 25 ปี มีกำหนดเปิด COD ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ขณะเดียวกัน บริษัท
บี.กริม แอลเอ็นจี ยังได้นำเข้า LNG จำนวน 2 ลำ ในเดือนตุลาคม และธันวาคม โดยปี 2567 นำเข้าทั้งสิ้น 3 ลำ รวมจำนวนประมาณ 198,000 ตัน เข้าสู่ระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของ บี.กริม เพาเวอร์ ต่อไป
สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2568 บี.กริม เพาเวอร์ คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ SPP อยู่ที่ 320-350 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 324 บาทต่อล้าน BTU โดยวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas พร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์
โดยขณะนี้ยังมีโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะ COD ในช่วงปีนี้ ถึงต้นปีหน้า กำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 605 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา 18 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” ในประเทศไทย 80 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน 27.5 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol” ในสาธารณรัฐเกาหลี 365 เมกะวัตต์ และ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 65 เมกะวัตต์
ขณะที่ ตลอดปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีความโดดเด่นในด้าน ESG โดยได้รับคัดเลือกให้อยู่ในเรตติ้งสูงสุด “AAA” จาก SET ESG Ratings และติดอันดับ The Sustainability Yearbook 2025 โดย S&P Global ด้วยคะแนนสูงสุด 5% แรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมิน MSCI ESG Rating ในระดับ BBB จาก MSCI ESG Research และคะแนน CGR ในระดับ “ดีเลิศ” จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย รวมทั้งได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิก FTSE4Good Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตอย่างยั่งยืน และการกำกับดูแลกิจการที่ดี พร้อมกันนี้ ยังได้รับการยอมรับด้านความเป็นผู้นำและนักลงทุนสัมพันธ์ โดยได้รับ 4 รางวัล จากงานประกาศรายชื่อสุดยอดบริษัทแห่งเอเชีย ประจำปี 2567 จัดโดย FinanceAsia ประกอบด้วย “รางวัลผู้นำองค์กรที่ดีที่สุด” “รางวัลบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG” “รางวัลผู้บริหารการเงินที่ดีที่สุด” “รางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม” อีกทั้งได้รับรางวัล Outstanding CFO และ Outstanding IR จากเวที IAA Awards ประจำปี 2567 รวมถึงได้รับรางวัล Outstanding Investor Relations ในงาน SET Awards 2024 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและการสื่อสารกับนักวิเคราะห์ และนักลงทุนสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ
จากความสำเร็จทั้งหมดในรอบปีที่ผ่านมา และความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการบริหารสภาพคล่องและความมุ่งมั่นในนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงมีมติอนุมัติปรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน และเสนอจ่ายเงินปันผลต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในเดือนเมษายน 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.43 บาท สำหรับปี 2567 ประกอบด้วยเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท และเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท