MEDEZE ทุ่ม 552 ล้าน ซื้อที่ดิน “สามพราน” รองรับการเติบโตธุรกิจ “Stem Cell”

บอร์ด MEDEZE ไฟเขียวทุ่ม 552 ล้านบาท ซื้อที่ดินเขต “สามพราน” รองรับการเติบโตธุรกิจอนาคต พร้อมอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทย่อย 110 ล้านบาท ลุยโครงการ Stem Cell Banking ในฟิลิปปินส์ พร้อมอนุมัติรทำระบบ MEDEZE Plus Auto Matching Software ด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อเจาะกลุ่มนักลงทุนและปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสม


นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมาได้อนุมัติให้บริษัททำการซื้อที่ดินเพื่อขยายสถานประกอบกิจการและรองรับการให้บริการลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นมูลค่า 552 ล้านบาท

สำหรับที่ดินที่จะซื้อมีทั้งหมด 14 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 30 ไร่ 2 งาน 84.3 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลบางเตย อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และยังอยู่ใกล้สถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ เซ็นทรัล ศาลายา, สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑล และมหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้ที่ดินแห่งนี้มีศักยภาพสูงในการรองรับการขยายกิจการในอนาคตโดยมีมูลค่ารวมของรายการ

โดยการซื้อที่ดินดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการซื้อที่ดินประกอบด้วยเงินจากการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 252 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 300 ล้านบาท

อีกทั้งคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้ Medeze Treasury Pte Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 110,000,000 บาท (4,313,725.49 ดอลลาร์สิงคโปร์) โดยออกหุ้นใหม่ซึ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 4,313,725.49 หุ้น จากทุนจดทะเบียนเดิม 190,000,000 บาท (7,486,727.34 ดอลลาร์สิงคโปร์) เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ภายหลังการเพิ่มทุนจำนวน 300,000,000 บาท (11,800,452.83 ดอลลาร์สิงคโปร์) มูลค่าหุ้นละ 25.42 บาท (1 ดอลลาร์สิงคโปร์) เพื่อการลงทุนในโครงการ Stem Cell Banking ในประเทศฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติว่าจ้างผู้ให้บริการ คือ บริษัท อินเวสติก อะนาไลติกส์ จำกัด เพื่อทำระบบ MEDEZE Plus Automatching Software ภายในเดือน มี.ค.68 มูลค่า 12 ล้านบาท โดย MEDEZE Plus Auto Matching Software เป็นระบบในการเข้าถึงข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ที่สามารถเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มนักลงทุน และกลุ่มที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของบริษัทมากกว่าช่องทางปกติในวงกว้าง

อีกทั้งยังมีการใช้ Artigicial Intelligence (AI) ในการวิเคราะห์ความเข้าใจและความคิดของกลุ่มเป้าหมาย ที่มีต่อแบรนด์และกิจกรรมทางการตลาด ตลอดจนมุมมองที่มีต่อการลงทุนในหุ้นของบริษัท เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ รวมไปถึงเพื่อให้เข้าใจและสามารถรับมือกับการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อย หรือ Bot Trading ในตลาดหุ้นได้

Back to top button