หุ้นไทยยับเยิน

สุดท้าย “โมนิก้า” ก็ต้องก้มหน้ายอมรับความจริงที่ว่า ตลาดหุ้นไทยคงขึ้นไม่ไหวแล้วจริง ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยลบต่างประเทศ


สุดท้าย “โมนิก้า” ก็ต้องก้มหน้ายอมรับความจริงที่ว่า ตลาดหุ้นไทยคงขึ้นไม่ไหวแล้วจริง ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยลบต่างประเทศ และความบื้อใบ้ของรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งอีฉันก็เคยเอาใจช่วยในสมัยที่ตระบัดสัตย์มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นอีฉันก็โดนเพื่อนพ้องน้องพี่แซวหนักจนเกือบเสียหมา แต่ด้วยความเชื่อใจที่มีต่อรัฐมนตรีต่าง ๆ ซึ่งเก๋าเกมในเรื่องเศรษฐกิจ จึงปล่อยให้แต่ละคนโชว์ฝีมือแบบสุดซอยไปก่อนเจ้าค่ะ

น่าสมเพชตรงที่รัฐมนตรีเหล่านั้น ไม่ได้ทำอะไรที่จับต้องได้เลยสักอย่าง และที่ยังตราตรึงทุกคนก็คือ รมว.พาณิชย์ ภายใต้การกุมบังเหียนของ “พิชัย” ดันเกิดอาการปากเปราะขึ้นมากะทันหัน พร้อมกับโบ้ยเรื่องราคาข้าวตกต่ำเป็นผลมาจากชาวนาไม่ปรับตัวเสียงั้น! ส่งผลให้ชาวบ้านส่งเสียงก่นด่ากันหนักหน่วง พร้อมกับย้อนเกล็ดไปถึงสมัยที่เป็นฝ่ายค้านเคยด่าอะไรเขาไว้..วันนี้เข้าตัวเองเต็ม ๆ นะจะบอกให้

ล่าสุดรัฐบาลยังสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน เมื่อมีการส่งอุยกูย์กลับประเทศจีน จนนานาประเทศออกมาประณามการกระทำของรัฐบาลที่นำโดย “อุ๊งอิ๊ง” ไม่มีชิ้นดี ขณะเดียวกันจะเห็นว่า พรรคประชาชน-กมธ.การเมือง และสว. ต่างรุมอัดการกระทำดังกล่าวขัดหลักสากล และอาจเป็นการจุดชนวนความรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง (เคยมีเหตุลอบวางระเบิดที่พระพรหม หลังจากส่งตัวอุยกูรย์กลับจีน) ซึ่งกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว และทำให้หุ้นไทยตกหนัก..จำได้บ่!

เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย และหุ้นไทยอย่างแน่นอน..เมื่อนำมาผนวกกับกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน 1.80 แสนล้าน โดยคนที่ถือกองทุนส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนนี้ขาดทุน 20-30% และไม่คิดจะโยกเงินไปที่กองทุน TESG2 พร้อมกับมีแนวคิดจะขายทิ้งแบบนี้ “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่กดดันตลาดหุ้นไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ และทำให้ดัชนีทะยานขึ้นอย่างบูรณาการเป็นเรื่องยากน่ะซี

ที่หนักกว่านั้นคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่พยายามคลอดออกมาแต่ละแพ็กเกจ กลับเป็นเพียงการโปรยยาหอมไปวัน ๆ และไม่มีผลสัมฤทธิ์ให้เห็นเป็นรูปธรรมสักที จึงกลายเป็นแรงตีกลับที่ฟาดไปยัง “พิชัย” แบบเต็มข้อนั้น ก็ทำให้เสียงร่ำลือเกี่ยวกับเปลี่ยนขุนคลังดังขึ้นอีกครั้ง และทำให้ตัวอีฉันเกิดอาการมืดแปดด้านในทันที เพราะมองไม่เห็นทางออกที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นพะย่ะค่ะ

โดยเรื่องราวทั้งหมดถูกตอกลิ่มด้วยท่าทีของ “เจพี มอร์แกน” ซึ่งออกมาพูดถึงความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย..มีน้อยมาก! เพราะเมื่อดูจากศักยภาพต่าง ๆ ก็มีหุ้นเพียงไม่กี่ตัวที่พอเล่นได้ พร้อมกับเอ่ยถึง KBANK กับ BBL ถือเป็นทางเลือกดีสุดสำหรับคนที่ชอบความเสี่ยงนิดหน่อย แต่ถ้าพูดตรง ๆ ก็ต้องบอกให้รู้ว่า ทั้งสองตัวมีความสามารถในการปั๊มกำไรสู้แบงก์ประเทศอื่นไม่ได้นะนาย..อีฉันถึงกับเงิบเลยจ้า!

สถานการณ์ข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” มีอาการไบโพลาร์กำเริบหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในวันที่ตลาดหุ้นดีดกลับแรง ๆ ก็ดีใจออกนอกหน้า พออีกวันตลาดหุ้นทรุดแรงแบบไม่ทันตั้งตัว ก็มีอาการหงอยเหงาซึมเซาเพราะรักทันทีเช่นกัน (ดูได้จากเรื่องราวที่เม้าท์ให้ฟังในวันก่อน ๆ) วันนี้เลยต้องบอกกันตามตรงว่า อีฉันไม่มีความมั่นใจกับตลาดหุ้นไทยอีกต่อไป เพราะข่าวร้ายมีมากกว่าข่าวดีไงล่ะจ๊ะ

ฉะนั้นการที่ดัชนีทรุดตัวหลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ระดับ 1,200 จุดตั้งแต่หัววัน พร้อมกับลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,186.36 จุด ก่อนจะตีกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,203.72 จุด ลบไป 12.01 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.44 หมื่นล้านบาท จึงเป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้อีฉันต้องสำเหนียกตัวเองมากขึ้นว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยเชื่อว่า ดัชนีจะไม่หลุด 1,300 จุด และต่อมาก็ยังเชื่อว่าไม่น่าหลุด 1,250 จุด แต่สุดท้ายก็พังพาบไม่เป็นท่า..แล้วจะเชื่ออะไรได้อีกล่ะคะ

โดยสิ่งหนึ่งที่เชื่อได้แบบสนิทใจก็คือ กองทุนในประเทศไม่มีเงินใหม่เข้ามาเติม ขณะเดียวกันก็ต้องระแวงนักลงทุนจะไถ่ถอนหน่วยลงทุนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ภาพของตลาดหุ้นไทยมีแต่ทรงกับทรุด “โมนิก้า” ถึงมองไม่ออกเหมือนกันว่า เที่ยวนี้จะแก้อย่างไร? ผนวกกับทุกอย่างมันตรงข้ามกับสิ่งที่คิดตลอดเวลา อีฉันเลยขอเฝ้าดูตลาดหุ้นไทยห่าง ๆ แบบห่วง ๆ เป็นการชั่วคราวนะตัวเอง

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button