
คัด 5 หุ้นเด่น ลงทุนเดือน มี.ค. รับดอกเบี้ยขาลง-กำไรแกร่ง
โบรกฯ แนะจับตา 5 หุ้นเด่นเดือนมีนาคม KBANK-SCB-TIDLOR-CPALL-BTG รับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง หนุนกำไรโตต่อเนื่อง พร้อมอัพไซด์จากกลยุทธ์ขยายธุรกิจและบริหารต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพ
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่องและปรับตัวลดลงแรงกว่าที่คาดการณ์ โดยมีปัจจัยลบสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาด ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณว่าอาจเลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้ตลาดการเงินยังคงมีความผันผวนสูง นอกจากนี้ การแข่งขันในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน AI จากประเทศจีนสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้นทุนในการฝึกอบรมต่ำแต่ให้ประสิทธิภาพการทำงานสูง อีกทั้งหุ้นขนาดใหญ่บางตัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบเฉพาะตัว ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง
สำหรับแนวโน้มในเดือนมีนาคม คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จะมีโอกาสฟื้นตัว แต่ยังต้องเผชิญกับความผันผวน เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีเสถียรภาพ โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ซึ่งกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หลังจาก GDP Tracker ของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตาชี้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2568 อาจหดตัวลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน ประเด็นสงครามการค้ายังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน โดยมีรายงานว่าเม็กซิโกกำลังพิจารณาจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางการค้ากับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศเริ่มมีแนวโน้มเชิงบวกมากขึ้น โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งช่วยผ่อนคลายสภาพคล่องทางการเงินและลดแรงกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมเปิดเผยรายละเอียดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ Digital Wallet เฟสที่สามภายในเดือนมีนาคม โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมโครงการ อีกทั้งกระทรวงการคลังมีแผนเปิดตัวกองทุน Thai ESGX ซึ่งคาดว่าจะเป็นเครื่องมือรองรับเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เดิม
สำหรับหุ้นแนะนำเดือนมีนาคม ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG
นำโดย KBANK ซึ่งผู้บริหารระบุว่ากลยุทธ์การเติบโตของธนาคารในปี 2568 จะเน้นที่การปรับปรุงประสิทธิภาพ และ การบริหารจัดการเงินทุน มากกว่าการขยายสินทรัพย์เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)
นอกจากนี้ ธนาคารยังมุ่งมั่นที่จะปั้น ROE ให้เป็นสองหลักในปี 2569 โดยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ธนาคารประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 67 ที่ 8.0 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าประมาณการ
SCB รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/67 แสดงสัญญาณว่า credit costs ของสินเชื่อปลอดหลักประกันลดลงจาก 10% เหลือ 7.5% ทำให้ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) โดยรวมของธนาคารลดลงไปเกือบ 0.20% เหลือ 1.62% (เป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบสี่ไตรมาส) นอกจากนี้ ธนาคารยังคาดว่า credit cost จะลดลงอีกในปี 2568 และรายได้ค่าธรรมเนียมจะฟื้นตัวขึ้นจากธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง
TIDLOR มีแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในระยะสั้นจากการ write-off หนี้เสียก้อนใหญ่ ซึ่งหมายความว่า credit cost น่าจะลดลงในปี 2568
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4/67 ดูเหมือนว่าบริษัทจะไม่สามารถดึงสัดส่วน C/I ลงมาได้ในระยะสั้น แต่ภาวะตลาดเชิงบวกยังน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าในระยะสั้น จากแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นของดอกเบี้ยขาลง
CPALL หลังกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าประมาณการของเรา 12% และ สูงกว่า market consensus 8% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าที่คาดไว้ และรายได้อื่นสูงเกินคาด นอกจากนี้ กระแสข่าวว่าผู้ก่อตั้ง Seven & I ไม่สานต่อดีล MBO แล้วน่าจะช่วยคลายกังวลเกี่ยวกับแผนการลงทุนของ CPALL ไปได้
BTG โดยมีมุมมองที่เป็นบวก เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2568 ดูสดใสจากราคาเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้น, ต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลง และ การขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การที่บริษัทดำเนินกลยุทธ์เพิ่มยอดขายสินค้าที่มาร์จิ้นสูงจะเป็นตัวขับเคลื่อนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ให้เพิ่มขึ้น จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ขึ้นอีก 36% เป็น 4.01 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพื่อสะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ