
นายกฯ เดินเครื่อง! ดัน GDP โต 3.5% เร่งเบิกงบแสนล้าน ปลดล็อก “ลงทุน-ส่งออก-ท่องเที่ยว”
รัฐบาลเร่งเครื่องเศรษฐกิจเต็มสูบ เดินหน้ามาตรการระยะสั้น-กลาง ปล่อยเม็ดเงินสะพัด กระตุ้นการลงทุนผ่าน BOI ดึงเอกชนลุยโปรเจกต์หมื่นล้าน พร้อมดันโครงสร้างพื้นฐาน-พลังงาน-เกษตรแบบ Sandbox Model หวังสร้างการเติบโตยั่งยืน แผนกระตุ้นฉบับสมบูรณ์ คาดสรุปใน 2 สัปดาห์! นักลงทุนและภาคธุรกิจจับตา เศรษฐกิจไทยจะทะยานตามเป้าหรือไม่
วันนี้ (3 มี.ค.68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ภาพการหารือกับ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
นางสาวแพทองธาร เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังมอบหมายให้ นายพิชัย จัดทำแผนผลักดัน GDP โต 3-3.5% ซึ่งกระทรวงการคลังได้หารือกับ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงบประมาณ และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยแบ่งมาตรการเป็น 2 ระยะ ดังนี้
ส่วนแรก แผนระยะสั้น-กลาง ได้แก่
- เร่งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ กองทุนต่างๆ ซึ่งมีเงินค้างอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ และผันเม็ดเงินไปสนับสนุนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
- เร่งการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนผ่าน BOI ซึ่งในปี 2567 มีการยื่นขอสนับสนุนราว 1.14 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลจะช่วยดูแลอำนวยความสะดวกเรื่อง Ease of Doing Business โดยเฉพาะเรื่องใบอนุญาตต่าง ๆ
- เร่งปิดดีลการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ระบบน้ำ เพื่อสอดรับกับความต้องการทั้งด้านเกษตร อุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภค รวมถึงโครงการ Land Bridge รถไฟเชื่อมต่อกับจีน ขยายสนามบินและท่าเรือ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่ง ตามนโยบาย Ignite Thailand
- กระตุ้นการส่งออก เช่น การเปิดตลาดใหม่ เร่งเจรจากับประเทศคู่ค้า ลดคอขวดด้านพิธีการส่งออก โดยนายกฯ กำชับให้ดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรควบคู่ไปด้วย
- ด้านการท่องเที่ยว เน้นการจัดงาน, เทศกาล เพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวและทำให้ระยะเวลาในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว อยู่ในประเทศนานขึ้น
ส่วนแผนระยะกลาง-ยาว เน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่
- เริ่มปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมแบบ Sandbox โดยยึดความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมเดิม
- ปรับโครงสร้างด้านราคาพลังงาน และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เช่น นโยบาย Direct PPA และ UGT เพื่อตอบโจทย์มาตรฐานการค้าการลงทุนปัจจุบัน
- เร่งปฏิรูปด้านเกษตรแบบ Sandbox โดยใช้ตลาดนำ เริ่มจากสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอ้อย เน้นเรื่องความสมดุลอุปสงค์-อุปทาน พัฒนาปัจจัยทุน ได้แก่ ดิน เมล็ดพันธุ์ น้ำ และเพิ่มผลิตภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
นายกรัฐมนตรี ระบุทิ้งท้ายว่า โดยรัฐบาลเตรียมหารือภาคเอกชนผ่าน กกร. เพื่อสรุปแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 2 สัปดาห์
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นักลงทุนยังคงจับตาดูแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยตั้งคำถามว่าแผนดังกล่าวจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ หลังจากที่ในปี 2567 GDP ของไทยขยายตัวเพียง 2.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาค
ในขณะเดียวกัน ธนาคารไทยพาณิชย์ได้แนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน โดยมุ่งเน้นการคัดเลือกหุ้นที่มีราคาย่อมเยาและมีกระแสเงินสดที่มั่นคง เช่น หุ้นสาธารณูปโภค รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวที่มีเครดิตเรตติ้งดี เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและความผันผวนของตลาดในอนาคต